เรียนท่านผู้มีอุปการะคุณ ที่เข้ามาเยี่ยมชม สมองสองซีก ตอนนี้ทางทีมงานได้ย้ายไป link ใหม่ตาม นี้ขอรับ http://g-sciences.blogspot.com ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามขอรับ

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

iVista Digital Ink Pad ผู้ช่วยชั้นเลิศในการจดบันทึกแบบ


Impetus ผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ iVista ได้เปิดตัว Digital Ink Pad+ นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยคุณในการจัดเก็บข้อความ รูปวาด และทุกๆ แรงบันดาลใจได้อย่างสะดวกง่ายดาย เพียงแค่เขียนข้อความด้วยปากกาดิจิตอลลงบน Digital Ink Pad+ แล้วทุกข้อความที่คุณเขียนจะถูกบันทึกในรูปแบบดิจิตอลโดยทันที พร้อมด้วย 26 เอกสาร (A-Z), แต่ละเอกสารสามารถบันทึกได้ 999 หน้า นอกจากนี้ยังมีไมโครโฟนภายใน คุณสามารถทำการบันทึกเสียงและมันจะบันทึกโดยอัตโนมัติในหน้าเอกสาร ณ ขณะนั้น รวมทั้งสามารถใช้งานได้นานต่อเนื่องถึง 20 ชั่วโมง รวมทั้งยังสามารถช่วยคุณในการนำเสนอผลงานต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม เพียงแค่คุณเชื่อมต่อ Digital Ink Pad+ เข้ากับคอมพิวเตอร์ของคุณเท่านั้น คุณก็จะสามารถเรียกข้อความที่คุณเคยบันทึกขึ้นมาดูบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ อีกครั้ง นอกจากนั้นคุณยังสามารถแก้ไขและจัดการข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้ในทันที อีกทั้งข้อมูลดิจิตอลที่คุณบันทึกยังสามารถแปลงเป็นไฟล์: BMP, HTML, PDF, JPEG, ONENOTE, TOP, TXT, WORD DOC and ZIP. และ โปรแกรม OCR handwriting recognition ยังสามารถช่วยคุณแปลงข้อมูลที่คุณบันทึกในรูปแบบ Hand Writing ให้กลายเป็น ตัวพิมพ์ซึ่งรองรับมากกว่า 14 ภาษาทั่วโลก รวมทั้งโปรแกรมนี้ก็สามารถช่วยคุณแปลงข้อมูลไปเป็น แผนภูมิ – รูปภาพได้เช่นกันDigital Ink Pad+ จะทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณ สามารถใช้งานได้เหมือน Tablet PC ทั่วไปพิเศษ ราคาโปรโมชั่น (รวมโปรแกรมแปลงตัวอักษร มูลค่า $50 + ค่านำเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม) แค่ 7,990 บาทเท่านั้น
ดูการทดสอบการใช้งานได้ที่นี่
http://www.overclockzone.com/basskyline/year2009/08/inkpad/index.htm

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

พบประชากรใหม่ๆ มากมายในแถบลุ่มน้ำโขงของเรา


ตุ๊กแก ลายเสือดาว หน้าตาราวกับว่า มาจากต่างจักรวาลอันไกลโพ้น พบในเขตป่าสงวนแห่งชาติเกาะก๊าตบ่า (Cat Ba) ติดเขตอ่าวฮาลอง ใน จ.กว๋างนีง (Quang Ninh)


เอเอฟพี - นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ถึง 163 ชนิดในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง แห่งดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา แต่ทั้งหมดนั้นกลับตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องจากสภาพอากาศที่ เปลี่ยนแปลงเพราะสภาวะโลกร้อน ทั้งนี้เป็นการรายงานของกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบนี้ มีทั้งกบที่กินนกเป็นอาหาร นกที่เดินมากกว่าบิน และตุ๊กแกที่หน้าตาประหลาดคล้ายเอเลี่ยน ซึ่งสัตว์ลักษณะแปลกๆ เหล่านี้ถูกบรรจุอยู่ในรายงาน "สัตว์ที่เผชิญกับการสูญพันธุ์" ของกลุ่มนักอนุรักษ์

รายงานฉบับนี้จะถูกนำไปเป็นประเด็นในการหารือระหว่างการประชุมของสห ประชาชาติในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่จะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ สัปดาห์หน้า ก่อนที่จะนำไปสู่การประชุมสมัชชาสามัญที่กรุงโคเปนเฮเกน ในเดือนธ.ค. ต่อไป

"สัตว์บางสายพันธุ์สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้ แต่บางสายพันธุ์ไม่ ซึ่งจะทำให้สัตว์สายพันธุ์เหล่านั้นสูญพันธุ์ได้" นายสจ๊วต แชปแมน (Stuat Chapman) ผู้อำนวยการกองทุนสัตว์ป่าโลกสาขาลุ่มแม่น้ำโขง กล่าว

"สัตว์หายาก อยู่ในภาวะเสี่ยงต่ออันตราย และมีอยู่เฉพาะถิ่นเช่นพวกสัตว์ที่ค้นพบนี้สามารถสูญพันธุ์ได้ง่ายเพราะสภาพ อากาศที่เปลี่ยนแปลงจะยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของสัตว์เหล่านั้นมี จำกัดมากยิ่งขึ้น" นายแชปแมน กล่าว

สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบในปี 2551 ประกอบด้วย พืช 100 ชนิด ปลา 28 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 18 ชนิด สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 14 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 2 ชนิด และนกอีก 1 ชนิด ซึ่งครอบคลุมอยู่ในบริเวณพื้นที่ของประเทศกัมพูชา ลาว พม่า ไทย เวียดนาม และมณฑลหยุนหนัน ของประเทศจีน


ประหลาดซ้อนประหลาด กบมีเขี้ยว แถมยังนิยมเปิบพิสดารจับนกกินนกเป็นอาหาร WWF กล่าวว่า พบในป่าสงวนแห่งหนึ่งของไทย อนุภูมิภาคแม่น้ำโขงมีความหลากหลายทางชีวภาพที่สมบูรณ์ยิ่ง แต่ทั้งหมดกำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ




กบ จริงๆ ไม่ใช่พวกตัวปาด ผิวขุขระ อาศัยตามต้นไม้ พบในเขตเขาเจืองเซิน (Truong SOn) ชายแดนเวียดนาม-จีน เมื่อปีที่แล้ว WWF เผยแพร่ภาพนี้ในวันศุกร์ (25 ก.ย.)

หนึ่งในสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบ คือ กบมีเขี้ยวกินนกเป็นอาหาร ที่ยังคงซุกซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนของไทย ซึ่งได้รับการยืนยันว่ามีจริงจากนักวิทยาศาสตร์ที่เข้าไปศึกษาในพื้นที่ป่า เป็นเวลานานกว่า 40 ปี

งูพิษลายพาดกลอน ที่ค้นพบอย่างไม่ตั้งใจบนเกาะนอกชายฝั่งประเทศเวียดนาม ในสถานการณ์ที่ลูกชายของนักวิจัยเกือบจะถูกฉกเข้าที่แขน หลังจากที่ออกตามหาจิ้งเหลน

"ในคราวที่ออกสำรวจตอนนั้นเราจับได้ทั้งงูและตุ๊กแก ซึ่งตรวจสอบแล้วว่าเป็นสายพันธุ์ใหม่ทั้งคู่" นายลี กริสเมอร์ (Lee Grismer) นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลาเซียร่า แคลิฟอร์เนีย กล่าวในรายงาน

ตุ๊กแกลายเสือดาว ถูกพบบนเกาะอีกแห่งหนึ่งของเวียดนามเช่นกัน มีลักษณะของสีสันคลายเสือดาวและปนด้วยสีส้ม มีดวงตาเหมือนแมว และมีขายาวเก้งก้าง

นอกจากนั้นยังพบนกชนิดใหม่ที่อยู่กันเป็นฝูงเล็กๆ จะบินได้ต่อเมื่อตื่นตกใจและบินในระยะสั้นๆ เท่านั้น พบในบริเวณชายแดนจีนติดกับเวียดนาม


พระเอก จากแขวงคำม่วนของลาว.. นกปรอดหัวโล้น (Pycnonotidae Hualone) ซึ่งองค์การ Wildlife Conservation Society กล่าวว่าเป็นการพบในรอบกว่า 100 ปี ทำไมเกิดมาหัวโล้น? ยังไม่มีผู้ใดไขคำตอบได้อย่างชัดเจน




ตีน เป็นพังผืดว่ายน้ำได้ แต่หางเป็นพวงเหมือนกระรอก เคยเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกเมื่อสัก 11 ล้านปีก่อน เพราะพบซากดึกดำบรรพ์ของญาติๆ ในแถบตอนใต้ของจีน แต่จู่ๆ เมื่อปี 2550 "ตัวขะหยุ" หรือ "ข่าหนู" ก็โผล่ออกมาให้ชาวโลกได้เห็นอีกครั้งในเขตเขาหินปูน แขวงคำม่วนของลาว จำนวนไม่น้อยถูกจับไปทำหนูย่างในตลาดสด

ในเดือน ธ.ค.2551 นักวิทยาศาสตร์ลาวกับนักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียได้พบนกปรอดหัวเหน่งที่เสียง ร้องของมันไพเราะยิ่ง และจับตัวเป็นๆ ได้เป็นครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่านับเป็นการพบครั้งสำคัญในรอบ 100 ปีทีเดียว หลังจากเคยเชื่อกันว่าสูญพันธุ์จากโลกนี้ไปแล้ว

นกปรอทหัวเหน่งมีลักษณะพิเศษหลายอย่างที่นกชนิดอื่นๆ ไม่มี อาศัยอยู่ในเขตภูเขาหินปูนในภาคกลางของลาว

ในเวียดนามช่วงหลายปีมานี้มีการค้นพบลิงหางยาวกับพวกค่างหน้าตาแปลกๆ อีกหลายสายพันธุ์ในเขตป่าภาคกลางกับภาคเหนือเวียดนาม มีการค้นพบนากหน้าขนขนาดใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเชื่อกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงนี้เป็นพื้นที่ที่มีความ อุดมสมบูรณ์ โดยในระหว่างปี 2540-2550 นั้น มีการค้นพบสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่มากถึง 1,068 ชนิดด้วยกัน


ภาพ ของ WWF ถ่ายในปี 2551 เป็นงูพิษลายเสือจากเกาะเหิ่นเซิน (Hon Son) เมืองแหร็ก-หยา (Rach Gia) จ.เกียน-ซยาง (Kien Giang) ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงของประเทศ




ภาพ ของ WWF ถ่ายในปี 2551 เป็นอสรพิษร้ายลายเสืออีกตัวหนึ่ง จากเกาะเหิ่นเซิน (Hon Son) เมืองแหร็ก-หยา (Rach Gia) จ.เกียน-ซยาง (Kien Giang) เช่นกัน



ตุ๊กแก ลายเสืออีกตัวมาจากป่าสงวนแห่งชาติก๊าตบ่า เช่นเดียวกัน เมื่อเร็วๆ นี้ยังค้นพบตุ๊กแกหน้าตาประหลาดๆ อีกหลายสายพันธุ์ในเขตเขา ทั้งในภาคใต้และภาคเหนือของประเทศ


แต่ในขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมและสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงจากสภาวะโลก ร้อนได้ทำให้ระดับน้ำทะเลและปริมาณของน้ำเค็มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกระทบโดยตรงกับธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตหายากเหล่านี้

WWF ต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของปัญหาการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหายากเหล่า นี้โดยจะนำเข้าเป็นวาระหนึ่งในการประชุมของสหประชาชาติในประเด็นการเปลี่ยน แปลงของสภาพอากาศหรือสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ระหว่างการประชุมในกรุงเทพฯ ในวันที่ 28 ก.ย. นี้

ในเดือน ธ.ค. ผู้นำจากทั่วโลกจะเข้าร่วมการประชุมใหญ่ในกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กเพื่อร่วมตกลงในการตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ สภาพอากาศปี 2555 หลังจากที่พิธีสารเกียวโตจะหมดวาระลง.


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

การออกแบบของเหลวสำหรับการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงราคาประหยัด

ทองคำขาวยังคงเป็นวัสดุที่ดีที่สุดในการเป็นตัวนำ ปฏิกิริยาทางเคมีสำหรับเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน แต่ด้วยสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบและราคาต้นทุนที่สูงในปัจจุบัน ทำให้มีการคิดค้นทางเลือกอื่นเพื่อผลิตเซลล์เชื้อเพลิงโดยการแทนที่ทองคำขาว เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟ ปัจจุบัน บริษัทพลังงาน ACAL ของสหราชอาณาจักร ได้ปรับปรุงการออกแบบของเหลวเพื่อผลิตเซลล์เชื้อเพลิงที่ลดปริมาณการใช้ ทองคำขาวได้กว่าร้อยละ 80


ภาพแสดงภายในเครื่องผลิตเซลล์เชื้อเพลิงของ ACAL ซึ่งเร่งปฏิกริยาทางไฟฟ้าโดยไม่ใช้ทองคำขาว
สามารถลดต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 40
ที่มา: บริษัทพลังงาน ACAL


ตามธรรมเนียมการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมนั้น มักจะใช้แพลทตินั่ม (ทองคำขาว) ฝังลงไปในร่องของขั้วไฟฟ้าคาร์บอน แต่การผลิตแบบใหม่ของ ACAL ได้ออกแบบโซลูชั่นที่นำธาตุโมลิบดีนั่ม (molybdenum) ที่มีต้นทุนต่ำผสมกับธาตุวานาเดียม (vanadium) ซึ่งเป็นธาตุที่ใช้ในการผลิตเหล็กอัลลอยด์ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทางไฟฟ้าของการผลิตเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งวิธีดังกล่าวให้ผลดีเท่ากับการผลิตแบบดั้งเดิม แต่มีต้นทุนถูกกว่าถึงร้อยละ 40

ACAL กล่าวว่า การออกแบบของพวกเขาสามารถผลิตพลังงานที่มีความหนาแน่นมากถึง 600 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซนติเมตรที่กำลังผลิต 0.6 โวลท์ อย่างไรก็ตาม นายฮูเบิร์ท แกสทีเกอร์ (Hubert Gasteiger) ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลของมหาวิทยาลัย MIT กล่าวว่า ค่ามาตรฐานของเซลล์เชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ปกติส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 900 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร แต่นาย แอนดรูว์ ครีธ (Andrew Creeth) ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ACAL และเป็นหัวหน้าช่างเทคนิค กล่าวว่า หากเพิ่มความดันลงในขั้นตอนของการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงให้มากขึ้นก็น่าจะทำ ให้ความหนาแน่นของพลังงานเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยความหนาแน่นของพลังงานระบบใหม่น่าจะได้มากถึง 1.5 วัตต์ต่อตารางเซนติเมตร และยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าการพัฒนาดังกล่าวมีความใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ที่ สามารถจะวางขายในท้องตลาดได้ในเร็วๆ นี้

ปัจจุบันบริษัทได้ผลิตระบบกระแสไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ เพื่อขายเชิงพาณิชย์ให้กับกลุ่มลูกค้าของบริษัทโดยเฉพาะในต้นปีหน้า และเซลล์เชื้อเพลิงดังกล่าวจะสามารถขายให้กับท้องตลาดทั่วไปได้ภายในปี 2011 โดยบริษัทได้วางเป้าหมายการตลาดแรกด้วยการผลิตกระแสไฟฟ้าดีเซลที่ 1-10 กิโลวัตต์ จากนั้นจึงค่อยขยายให้มีการประยุกต์ใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น อาทิ การใช้ไฟฟ้าตามบ้านและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

ทองคำขาวที่บรรจุอยู่ในเยื่อโพลิเมอร์ของเซลล์เชื้อ เพลิงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า เนื่องจากความสามารถในการแตกไฮโดรเจนเป็นประจุอิออนบวก และผสมกับออกซิเจนในรูปของน้ำหล่อเย็นที่ขั้วลบ แต่สำหรับสามปีที่ผ่านมาทองคำขาวก็มีปริมาณการผลิตที่จำกัดและมีต้นทุน เฉลี่ย 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ นายดักลาส แม็คฟาร์เลน (Douglas MacFarlane) ศาสตราจารย์ด้านวิชาเคมีของมหาวิทยาลัยโมนาช ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า “ในอนาคตราคาของทองคำขาวจะพุ่งขึ้นสูงมากหากยังคงนำมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิต เซลล์เชื้อเพลิงแบบเดิม จึงควรมีการพัฒนาการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงทางเลือกใหม่ๆ เพื่อทดแทน” “การผลิตเซลล์เชื้อเพลิงใช้ทองคำขาวประมาณ 0.5 กรัมต่อการสร้างกระแสไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ แต่ในระยะยาวบริษัทมีเป้าหมายที่จะลดการใช้ทองคำขาวลงเหลือ 0.2 กรัมต่อการสร้างกระแสไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์” นายแกสทีเกอร์ กล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบันได้มีนักวิจัยจำนวนมากที่แข่งขันกันคิดค้น วิธีเพื่อลดปริมาณการใช้ทองคำขาวหรือไม่ใช้เลยเพื่อผลิตเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งการใช้โลหะอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่ามักเป็นทางเลือกที่พบได้บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น การใช้เหล็กเป็นตัวหลักในการเร่งปฏิกิริยาไฟฟ้าและใช้การผสมทองคำขาวกับ แพลเลเดียม (palladium) เป็นตัวเสริม แม็คฟาร์เลน ได้คิดค้นเยื่อโพลิเมอร์ที่มีรูพรุนเพื่อเร่งปฏิกิริยาไฟฟ้า ขณะที่นักวิจัยบริษัทไดฮัตสุของญี่ปุ่นและมหาวิทยาลัยวูฮันของจีนคิดค้นการ ผลิตเซลล์เชื้อเพลิงอัลคาไลน์ ซึ่งใช้วิธีให้อิออนที่เป็นด่างทำปฏิกิริยากับอิออนที่เป็นกรด การออกแบบเหล่านี้ทำงานได้ดีกับตัวเร่งปฏิกิริยาราคาถูกเช่นนิกเกิล และไม่จำเป็นต้องใช้โลหะมีค่าเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา แต่ทางเลือกทั้งหมดนี้ก็ย้อนกลับไปสู่จุดเริ่ม คือ การผลิตเซลล์เชื้อเพลิงที่มีศักย์พลังงานไฟฟ้าต่ำและความเสถียรของการส่ง ไฟฟ้าจะลดต่ำลงเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน อย่างไรก็ตาม ตัวเร่งปฏิกิริยาไฟฟ้าของบริษัท ACAL อยู่บนพื้นฐานของการผสมโลหะโมลิบดีนั่มและวานาเดียมที่มีต้นทุนต่ำ ลงไปในเยื่อบุโพลิเมอร์ของเซลล์เชื้อเพลิง และให้สัมผัสโดยตรงกับของเหลวที่มีประจุอิออนลบ ซึ่งได้ผลเท่ากับการใช้ทองคำขาวประมาณร้อยละ 80 ในการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม

ครีธกล่าววว่า จากการทดสอบของบริษัทกว่า 1,500 ชั่วโมงพบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาแบบใหม่นี้มีความเสถียรและสามารถทนทานต่อสภาพ ความเป็นกรดในเซลล์เชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการลดต้นทุนการผลิต ขณะที่การผลิตแบบดั้งเดิมติดอยู่กับความจำเป็นที่ต้องทำให้เซลล์เชื้อเพลิง เย็นตัวด้วยของเหลวหรืออากาศ และมันยังต้องการระบบที่ต้องทำให้เยื่อภายในเซลล์เชื้อเพลิงมีความชื้นอยู่ ตลอดเวลาเพื่อเป็นการกระตุ้นปฏิกิริยาทางไฟฟ้าของของเหลว “ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าการผลิตของเราเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดในทางเลือกที่จะ ไม่ใช้ทองคำขาว” ครีธกล่าว

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

หนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบเดซี

หนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบเดซี (Digital Accessible Information System:DAISY) คือ สื่อมัลติมีเดียที่แสดงผลในรูปของข้อมูลดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีของ eXtensible Hyper Text Markup Language (XHTML) หรือ eXtensible Markup Language (XML) ในการเก็บเนื้อหาต้นฉบับ (Textual Content File) และใช้เทคโนโลยี Synchronized Multimedia Integration Language (SMIL) ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลจากเนื้อหากับข้อมูลเสียงจากการบันทึก การอ่าน ในรูปของ WAV File หรือมาตรฐาน Moving Picture Experts Group (MPEG)

DAISY มีลักษณะเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีเสียง มีทั้งชนิดข้อความและเสียง หรือชนิดมีเสียงอย่างเดียว สามารถเปิดฟังด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เปิดฟังเสียงด้วยเครื่องอ่านหนังสือเสียงระบบเดซี หรือเปิดฟังเสียงพร้อมทั้งข้อความที่สัมพันธ์กัน ด้วยโปรแกรมอ่านหนังสือเดซีบนคอมพิวเตอร์ ทำให้เห็นข้อมูลพร้อมการได้ยิน




ภาพโครงสร้างหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบเดซี


คุณสมบัติของ DAISY สามารถค้นหา(Searching) ควบคุมการอ่าน(Navigable) และใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น ทำสำเนา และคั่นหน้าที่อ่าน(Bookmark) เพื่อนำมาเปิดฟังต่อเนื่องในภายหลัง เหมาะกับกลุ่มคนพิการทางการเห็น กลุ่มที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือกลุ่มผุ้สูงอายุ

ในประเทศไทยโดยความร่วมมือระหว่างศูนย์เทคโนโลยี อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และโครงการสารนุกรมไทย สำหรับเยาวชน ได้นำสารานุกรมไทย สำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เล่ม 1-27 มาจัดทำเป็นหนังสือเสียงอิเล็กทรอนิกส์ระบบเดซี ชนิดข้อความและเสียง โดยมีสัญญาณเสียงในรูปของ Mpeg Layer 3 (MP3) ในรูปแบบซีดีรอม จำนวน 125 ชุดเพื่อให้โครงการฯ จัดมอบให้กับหน่วยงานที่มีกลุ่มเป้าหมายที่จำเป็นต้องใช้จำนวน 18 หน่วยงาน อาทิ ศูนย์การศึกษาพิเศษทั่วประเทศ โรงเรียนสอนคนตาบอดทั่วประเทศ ห้องสมุดสำหรับคนตาบอด



วิจัยและพัฒนาโดย ฝ่ายวิจัยพัฒนาและวิศวกรรม สถาบันวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ

data www.nectec.or.th

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

เดิมพันสูง! ถ้าเซิร์นเดินเครื่องไม่ได้ "ฟิสิกส์อนุภาค" ถอยหลังไปสิบปี


ภาพ ขณะนักวิทยาศาสตร์ในห้องควบคุมดูข้อมุลการทำงานของเครื่องเร่งอนุภาคและ เครื่องเครื่องตรวจวัดอนุภาค เมื่อวันทดลองยิงลำอนุภาคครั้งแรกวันที่ 10 ก.ย.51 ที่ผ่านมา (ภาพเอพี)


แม้ยังมีความวังกลว่าเครื่องเร่งอนุภาคของ "เซิร์น" จะสร้าง "หลุมดำ" ออกมาดูดกลืนทุกอย่างบนโลก แต่สำหรับนักฟิสิกส์แล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเท่ากับเครื่องจักรทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่ลงทุนไปมหาศาลแต่ไม่สามารถเดินหน้าได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าความก้าวหน้าของ "ฟิสิกส์อนุภาค" จะถอยหลังไปนับสิบปี

เครื่องจักรทางวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี (LHC) ขององค์กรความร่วมระหว่างประเทศในทวีปยุโรปวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ (European Center for Nuclear Reseach) หรือเซิร์น (Cern) ซึ่ง หลายประเทศร่วมลงทุนไปเป็นเงินมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท เพิ่งจะทดลองเดินเครื่องได้เพียง 9 วัน และเกิดอุบัติเหตุที่สร้างความเสียจนต้องปิดซ่อมแซมมาเป็นแรมปี จนบัดนี้เครื่องเร่งอนุภาคเพื่อไขปริศนาจักรวาลยังไม่ได้เดินเครื่องยิง อนุภาคชนกันเลยสักครั้ง

เครื่องเร่งอนุภาค ที่มีท่อเป็นทางวิ่งของลำอนุภาคยาว 27 กิโลเมตร ขดเป็นวงอยู่ในใต้แผ่นดินชายแดนฝรั่งเศส-สวิตเซอร์แลนด์ ท่ามกลางการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ของนักฟิสิกส์ 8,970 คนจากทั่วโลก ที่อยากเห็นการเดินเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งอาศัยผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศร่วมประกอบจนเป็นรูปเป็นร่าง แม้จะใช้เงินทุนไปมหาศาลแต่นักฟิสิกส์นับพันต่างหวังว่า เครื่องจักรนี้จะเดินเครื่องได้ด้วยดี และจะเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ทำให้มนุษย์ได้เข้าใจจักรวาล


ภาพเครื่องตรวจวัดอนุภาคซีเอ็มเอส () ซึ่งเป็นขดลวดซิลินอยด์ขนาดใหญ่ที่มีหน้าที่ในการตรวจวัดอนุภาคมิวออน (รอยเตอร์)

เมื่อ วันที่ 10 ก.ย.ปีที่ผ่านมา เซิร์นได้ทดลองเดินเครื่องยิงลำอนุภาคให้วิ่งวนภายในท่อ และหลังจากนั้นเพียง 9 วันเมื่อทดลองยิงลำอนุภาคให้วิ่งวนภายในท่อ ในทิศทางตรงกันข้าม ได้เกิดความเสียหายเนื่องจากการเชื่อมต่อทางไฟฟ้า จนเป็นเหตุให้ต้องหยุดเดินเครื่อง และต้องซ่อมแซมพร้อมทำความสะอาดแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ 53 ตัว เนื่องจากฮีเลียมเหลวนับตัน รั่วเข้าสู่ระบบ ซึ่งฮีเลียมเหลวเหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบเย็นยิ่งกว่าในห้วงอวกาศ เพื่อช่วยหล่อเย็นให้ระบบที่อนุภาควิ่งวนด้วยความเร็วเข้าใกล้ความเร็วแสง


ประตุทางเข้าศูนย์ควบคุมเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีของเซิร์น (ภาพเอพี)


ทั้ง นี้ เซิร์นได้ออกมาประกาศว่า จะเดินเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีในเดือน พ.ย.นี้ ด้วยพลังงาน 3.5 เทราอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งเป็นพลังงานครึ่งศักยภาพของเครื่อง โดย เจมส์ กิลลีส์ (James Gillies) โฆษกของเซิร์นกล่าวกับสำนักข่าวเอพีว่า เซิร์นจะหยุดเดินเครื่องเร่งอนุภาคอีกครั้งในปีหน้า เพื่อซ่อมแซมเครื่องจักรให้แล้วเสร็จ และจะสามารถเดินเครื่องได้เต็มที่ 7 เทราอิเล็กตรอนโวลต์

แม้ว่าจะเดินเครื่อง ด้วยพลังงานเพียงครึ่งเดียว แต่นักวิทยาศาสตร์ต่างคาดหวังว่า การทดลองจะทำให้ได้ข้อมูลการชนของโปรตอนและไอออนของตะกั่วภายในเครื่อง เร่งอนุภาค แต่แน่นอนที่สุดนักวิทยาศาสตร์คาดหวังว่า การเดินเครื่องที่พลังงานสูงกว่านี้ จะทำให้พวกเขาได้เห็นอนุภาคที่ไม่เคยพบมาก่อน อย่างอนุภาคฮิกก์สโบซอน (Higgs) ซึ่งตามทฤษฎีระบุว่า เป็นอนุภาคที่ก่อให้เกิดมวลอนุภาคและสสารอื่นๆ ในเอกภพ

อย่างไรก็ดี เมื่อสหรัฐฯ ยกเลิกการสร้างเครื่องเร่งอนุภาคซูเปอร์คอนดักติงซูเปอร์คอลลิเดอร์ (Superconducting Super Collider) ตามกำหนดที่จะสร้างในปี 2536 ทำให้เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีของเซิร์น ก็กลายเป็นเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยเซิร์นมีสมาชิกจาก 20 ประเทศร่วมลงทุนก่อสร้างเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสำหรับความเสียหายในปีที่ผ่านมา เซิร์นต้องจ่ายค่าซ่อมแซม และเพิ่มระบบความปลอดภัยรวมมูลค่าราว 1,300 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์อาศัยเครื่องเร่งอนุภาคขนาดเท่าห้องทำงาน และทำการทดลองที่อุณหภูมิห้องมาเป็นเวลาหลายทศวรรษเพื่อศึกษาอะตอม

ครั้งหนึ่งนักวิทยาศาสตร์เคยเชื่อว่าโปรตอนและนิวตรอนเป็นองค์ประกอบ เล็กที่สุดของนิวเคลียสอะตอม แต่เครื่องเร่งอนุภาคได้แสดงให้เห็นว่า นิวเคลียสยังสร้างขึ้นจาก "ควาร์ก" (quark) "กลูออน" (gluon) และยังมีอนุภาคและแรงอื่นๆ อีก อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับปฏิสสาร สสารมืด และมวลของอนุภาค ซึ่งพวกเขากำลังรอคำตอบจากเครื่องเร่งอนุภาคเครื่องใหม่ของเซิร์น

นัก วิทยาศาสตร์หวังว่า เศษซากที่กระเด็นออกมาจากการชนกันภายในเครื่องเร่งนั้น จะแสดงให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเศษเสี้ยว 1 ในแสนล้านของวินาที หลังเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่ "บิกแบง" (Big Bang) ที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นการระเบิดที่ก่อให้เกิดจักรวาล ซึ่งการทดลองดังกล่าวจะเป็นการจำลองการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวในระดับเล็กๆ และตามทฤษฎียังบอกด้วยว่า เอกภพได้เย็นตัวอย่างทันทีทันใดและสสารได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ขณะ ที่คนทั่วไปอาจเคลือบแคลงและสงสัยว่า เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีจะทำให้เกิดหลุมดำจิ๋วกลืนกินโลก แต่สำหรับนักฟิสิกส์ชั้นนำและเซิร์นแล้วพวกเขาไม่ได้สนใจในเรื่องดังกล่าว และยังคงยืนยันว่าโครงการนี้มีความปลอดภัย ขณะที่การไม่ได้เดินเครื่องเสียทีนั้น ดูจะเป็นปัญหากับนักวิทยาศาสตร์มากกว่า

นีล เลน (Neal Lane) อดีตที่ปรึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ของอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน (Bill Clinton) ของสหรัฐฯ และเป็นอดีตผู้อำนวยการมูลวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ (US Science Foundation) กล่าวว่า เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีนั้น เป็นตัวอย่างของเครื่องจักรอันซับซ้อนขนาดใหญ่ ซึ่งผลักดันให้เทคโนโลยีเครื่องเร่งอนุภาคก้าวหน้า ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากจะมีปัญหาที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

" หากสามารถเดินเครื่องเร่งอนุภาคได้เร็ว ก็จะได้ผลลัพธ์ที่มีค่ามาก แต่หากเกิดเรื่องอันไม่คาดคิดมากกว่านี้ การเดินเครื่องล่าช้าออกไปเรื่อยๆ และล้มเหลวในการค้นพบเป้าหมายที่มีนัยสำคัญในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ความรู้ในด้านฟิสิกส์อนุภาคเชิงทดลองของทั่วโลกก็จะถอยหลังไปอีกสิบปีหรือ มากกว่านั้น เป็นการเดิมพันที่สูงมาก" เลนซึ่งปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์และศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณะของมหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) กล่าว
Thank News ASTV manager online

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

นักดาราศาสตร์ยืนยัน "ดาวเคราะห์คล้ายโลก" นอกระบบสุริยะครั้งแรก



ภาพ จำลองดาวเคราะห์หินโคบอล-7บี คล้ายเคราะห์หินคล้ายโลก ที่นักดาราศาสตร์จากหลายสถาบันในยุโรปได้ร่วมกันวิเคราะห์ และยืนยันเป็นครั้งแรกว่าดาวเคราะห์ที่พบนี้เป็นดาวเคราะห์หินนอกระบบสุริยะ ที่ค้นพบ โดยในภาพจะเห็นบางส่วนของดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ ดาวดวงสีส้มที่อยู่ด้านหลัง (ไซน์เดลี/องค์การอวกาศยุโรป)


นักดาราศาสตร์พบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะกว่า 300 ดวงแล้ว แต่ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ที่พบ เป็นดาวเคราะห์ก๊าซ หรือไม่ก็ยังพิสูจน์ไม่ว่าเป็นดาวเคราะห์หินหรือดาวเคราะห์โลก และนี่เป็นครั้งแรกที่ทีมนักดาราศาสตร์จากหลายสถาบันยุโรปได้ยืนยันว่าพบดาว เคาะห์หินจริงๆ

ดาวเคราะห์ที่ว่ามีชื่อ "โครอท-7บี" (Corot-7b) อยู่ห่างจากโลก 500 ปีแสง มีอุณหภูมิพื้นผิวมากกว่า 2,000 องศาเซลเซียส มีมวลมากกว่าโลกของเรา 5 เท่า และมีรัศมีมากกว่าโลก 80% มีคาบโคจรรอบดาวฤกษ์ของตัวเองเพียง 20 ชั่วโมง และหมุนโคจรด้วยความเร็ว 750,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเร็วกว่าดาวพุธ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของเรามากที่สุดซึ่งมีคาบโคจร 88 วัน

ทั้งนี้ ไซน์เดลีระบุว่า ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะนี้ถูกพบเมื่อเดือน ก.พ.52 นี้ โดยดาวเทียมโครอท (CoRoT) ซึ่งเห็นดาวเคราะห์ขนาดเล็กโคจรอยู่รอบดาวฤกษ์ TYC 4799-1733-1 โดยตำแหน่งของดาวดวงนี้บนท้องฟ้านั้นอยู่เบื้องหน้ากลุ่มดาวยูนิคอร์น (Monoceros) และยังเป็นดาวเคราะห์อายุน้อยเพียง 1.5 พันล้านปี

อีกทั้งทุกๆ 20.4 ชั่วโมงดาวเคราะห์ดวงนี้ จะทำให้เกิดคราสบนดาวฤกษ์ของตัวเอง ซึ่งทำให้แสงสว่างลดลง 1 ใน 3,000 ของความสว่างเดิมเป็นเวลากว่าชั่วโมง โดยดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ห่างจากดาวฤกษ์ของตัวเองเพียง 2.5 ล้านกิโลเมตร ซึ่งเมื่อเทียบกับระยะห่างระหว่างดาวพุธกับดวงอาทิตย์แล้ว โคบอท-7บีอยู่ใกล้กว่าดาวฤกษ์ที่โคจร 23 เท่า

ในการวิเคราะห์ว่าเป็นดาวเคราะห์หินนั้น เอพีระบุว่านักดาราศาสตร์ต้องพิจารณาหลายสิบครั้งเพื่อหาความหนาแน่นของดาว ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าดาวดวงนี้เป็นดาวเคราะห์หินคล้ายโลกหรือไม่ เบื้องต้นไซน์เดลีระบุว่าไม่สามารถวัดมวลของดาวได้โดยตรง สิ่งที่ต้องทำคือวัดความเร็วของดาวให้ใกล้เคียงค่าที่แท้จริงมากที่สุด แต่ปัญหาคือสัญญาณเพียงเล็กน้อยของโคบอท-7บี ยังพร่ามัวเนื่องจากการเกิด "สตาร์สปอต" (starspots) บนดาวฤกษ์ ซึ่งคล้ายกับจุดดับ (sunspots) บนดวงอาทิตย์ โดยจะเกิดบริเวณที่เย็นกว่าบนผิวดาว

ทั้งนี้นักดาราศาสตร์ได้ใช้ HARPS (High Accuracy Radial velocity Planet Searcher) อุปกรณ์ค้นหาดาวเคราะห์ที่มีความเร็วสูงได้เที่ยงตรง ซึ่งติดตั้งอยู่บนกล้องโทรทรรศน์ 3.6 เมตร ขององค์การอวกาศยุโรป (ESO) ที่หอดูดาวลาซิญญา (La Silla Observatory) ในประเทศชิลี โดยฟรองซัว บูชี (François Bouchy) ผู้ร่วมวิจัยกล่าวว่า พวกเขาต้องใช้อุปกรณ์ดังกล่าวสำรวจดาวร่วม 70 ชั่วโมง ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวทำให้นักดาราศาสตร์ได้รับสัญญาณการเกิดคราสแล้วนำมา คำนวณได้ว่าดาวเคราะห์หินดวงนี้มีมวลมากกว่าโลก 5 เท่า

ด้านแคลร์ มูตู (Claire Moutou) หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า วงโคจรของดาวเคราะห์โคบอท-7บี ที่เป็นแนวราบ ทำให้นักดาราศาสตร์เห็นดาวเคราะห์ผ่านหน้าดาวฤกษ์ของตัวเอง และนำไปคำนวณหามวล และพวกเขายังได้ข้อมูลรัศมี ซึ่งนำไปคำนวณหาความหนาแน่นของดาวเคราะห์ และยังได้แนวคิดถึงโครงสร้างภายในของดาวเคราะห์ด้วย

สำหรับนักดาราศาสตร์ที่ร่วมค้นหาดาวเคราะห์หินครั้งนี้มาจากสถาบันใน ยุโรป อาทิ หอดูดาวเจนีวา (Observatoire de Genève) สวิตเซอร์แลนด์ สถาบันฟิสิกส์ดาราศาสตร์ในปารีส (Institut d'Astrophysique de Paris)) ฝรั่งเศส ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ดาราศาสตร์มาร์เซย์ (Laboratoire d'Astrophysique de Marseille) ฝรั่งเศส หอดูดาวทีแอลเอส (Thuringer Landessternwarte Tautenburg) เยอรมนี หอดูดาวฝรั่งเศส (Observatoire de Paris) มหาวิทยาลัยเบิร์น (University of Bern) สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

นาซาเผยชื่อนักบินดิสคัฟเวอรีเที่ยวสุดท้าย ก่อนปิดฉากยุคกระสวยอวกาศปีหน้า


สตีฟ ลินด์ซีย์ ผู้บังคับการเที่ยวบินสุดท้ายของกระสวยอวกาศ ก่อนถูกปลดระวาง (ภาพทั้งหมดจากนาซาฝสเปซดอทคอม)


นาซาเผยรายชื่อ 6 นักบินที่จะเดินทางไปกับกระสวยอวกาศอวกาศเป็นชุดสุดท้าย เพื่อต่อเติมสถานีอวกาศ โดยดิสคัฟเวอรีจะรับหน้าที่ปิดตำนาน 29 ปียุคกระสวยอวกาศในเดือน ก.ย.53


นิโคล สท็อตต์ นักบินหญิงที่จะร่วมเดินทางไปกับเที่ยวบินประวัติศาสตร์ ซึ่งกำลังปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศ


สเปซดอทคอมระบุว่า องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ได้เปิดรายชื่อ 6 นักบินอวกาศที่จะเดินทางไปในเที่ยวบินสุดท้ายของกระสวยอวกาศ โดยมีสตีฟ ลินด์ซีย์ (Steve Lindsey) หัวหน้านักบินอวกาศของนาซารับหน้าที่บังคับการเที่ยวบิน STS-133 และดิสคัฟเวอรี (Discovery) จะได้รับภารกิจปิดตำนาน 29 ปีแห่งยุคกระสวยอวกาศนี้


บาร์แรตต์ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่บนสถานีอวกาศ



หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เที่ยวบินสุดท้ายของกระสวยอวกาศจะทะยานฟ้าในเดือน ก.ย.53 มุ่งสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station) รวมระยะเวลา 8 วัน และทางเอพียังระบุด้วยว่ากระสวยดิสคัฟเวอรีได้มุ่งหน้าสู่อวกาศทั้งหมด 128 เที่ยวแล้ว นับแต่เริ่มบินเมื่อปี 2525

“เป็นกำหนดการสุดท้ายที่จะขนส่งเสบียงสู่สถานีอวกาศ ซึ่งพวกเขาจะขึ้นพร้อมด้วยสเบียงจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นภารกิจที่มีความเสี่ยง" เจมส์ ฮาร์ทสฟิล์ด (James Hartsfield) โฆษกของนาซาเผย

ส่วนนักบินอวกาศที่เหลือซึ่งจะร่วมเดินทางไปกับลินด์ซีย์นักบินอวกาศ ที่ปฏิบัติภารกิจอวกาศมาแล้ว 4 ครั้ง ได้แก่ พันอากาศเอกอีริค โบ (Eric Boe) ผู้รับหน้าที่นักบิน อัลวิน ดรูว (Alvin Drew) ทีมโมธี โคปรา (Timothy Kopra) ไมเคิล บาร์แรตต์ (Michael Barratt) และนิโคล สท็อตต์ (Nicole Stott) ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำเที่ยวบิน โดยทั้งหมดล้วนเป็นนักบินอวกาศผู้เชี่ยวชาญของนาซา

ตอนนี้บาร์แรตต์และสท็อตต์กำลังประจำอยู่บนสถานีอวกาศ ส่วนโคปราเพิ่งกลับสู่โลกเมื่ออาทิตย์ก่อนในเที่ยวบิน STS-128 ของกระสวยดิสคัฟเวอรี หลังสิ้นสุดการประจำอยู่บนสถานีอวกาศนาน 2 เดือน ซึ่งโฆษกนาซากล่าวว่าเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยรายชื่อนักบินอวกาศขณะที่ เจ้าตัวยังอยู่บนสถานีอวกาศ

ลินด์ซีย์และลูกเรือของเขาจะเริ่มต้นฝึกเพื่อปฏิบัติภารกิจของพวกเขา ในเดือนหน้า ซึ่งเขาจะแปะมือเพื่อรับตำแหน่งหัวหน้านักบินอวกาศในฐานะ "นักบินอวกาศผู้เชี่ยวชาญ" (veteran spaceflyer) ต่อจาก เพกกี วิทสัน (Peggy Whitson) นักบินอวกาศหญิงคนแรกที่รับหน้าที่ผู้บัญชาการบนสถานอวกาศเมื่อปี 2550 และนักบินอวกาศหญิงคนแรกที่รับตำแหน่งสูงสุดของอาชีพนักบินในนาซา


โคปราขณะอยู่ในวงโคจร


ทั้งนี้นาซาเตรียมปลดระวางกระสวยอวกาศลงในปีหน้า หลังต่อเติมสถานีอวกาศนานาชาติแล้วเสร็จ โดยเหลือเที่ยวบินจนถึงเที่ยวบินสุดท้ายทั้งหมด 6 เที่ยว และนาซาได้วางแผนทดแทนกระสวยอวกาศด้วยยานอวกาศโอไรออน (Orion) ที่จะถูกส่งขึ้นฟ้าด้วยจรวดแอเรส 1 (Ares I) แต่ยานอวกาศใหม่จะยังไม่ถูกใช้งานจนกว่าจะถึงปี 2558

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

"เอช จี เวลล์" เชคสเปียร์แห่งวงการนิยายวิทยาศาสตร์


เอช จี เวลล์ (wikipedia)


นอกจาก "จูลส์ เวิร์น", "อาเธอร์ ซีคลาร์ก", "ไอแซค อาซิมอฟ" นักเขียนไซ-ไฟระดับเวิร์ลคลาสที่คนไทยผู้นิยมนิยายวิทยาศาสตร์จะรู้จักกันดี แล้ว "เอช จี เวลล์" เป็นนักเขียนไซ-ไฟอีกคนที่เราต้องคารวะในความสามารถ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น "เชคสเปียร์" แห่งวงการวิทยาศาสตร์

เอ่ยชื่อ "เอช จี เวลล์" (H.G. Wells) หรือ เฮอร์เบิร์ท จอร์จ เวลล์ (Herbert George Wells) บางคนอาจทำหน้างงๆ ว่าเขาคือใคร แต่ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ War of the Worlds หรือในชื่อภาษาไทยว่า "อภิมหาสงครามล้างโลก" ที่ได้ "ทอม ครูส" และสาวน้อย "ดาโกตา แฟนนิง" เป็นนักแสดงนำ หลายคนคงพยักหน้ารู้จักภาพยนตร์ไซ-ไฟ (Sci-fi) เรื่องนี้ และเวลล์คือนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ผู้สร้างต้นฉบับเรื่องนี้และได้กลาย เป็นภาพยนตร์ในเวลาต่อมา


หน้าปกหนังสือ เดอะ ไทม์ แมชีน ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก (wikipedia)


รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุปตะกุล นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์แถวหน้าของเมืองไทย เล่าให้ฟังว่า เอช จี เวลล์ เป็นนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่มีชีวิตอยู่ระหว่าง 21 ก.ย.2409 - 13 ส.ค.2489 หากพูดถึงนิยายวิทยาศาสตร์ระดับโลกแล้ว มีนักเขียนที่อยู่ในฐานะ "บิดานิยายวิทยาศาสตร์" 2 คน คือ จูลส์ เวิร์น (Jules Verne) และ เอช จี เวลล์

ก่อนหน้านั้นก็มีผู้นิยายไซ-ไฟแนวสยองขวัญ แต่ได้สร้างจินตนาการทางวิทยาศาสตร์ขึ้นเอง ซึ่งเวิร์นนับเป็นคนแรกที่เขียนนิยายวิทยาศาสตร์ โดยอยู่บนพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเป็นไปได้จริง

ความแตกต่างระหว่างผลงานของเวิร์นและเวลล์คือ เวิร์นจะสร้างงานเขียนในด้านเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ ขณะที่เวลล์ซึ่งเขียนนิยายบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์เช่นกัน จะเปิดกว้างงานเขียนที่ไม่จำกัดเพียงเรื่องเทคโนโลยี โดยผลงานไซ-ไฟเรื่องแรกของเวลล์คือ "เดอะ ไทม์ แมชชีน" (The Time Machine) ที่เขาเขียนขณะอายุ 29 ปี ซึ่งมีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เช่นเดียวกับอีกหลายเรื่อง อาทิ "ดิ ไอส์แลนด์ ออฟ ดร.มารู" (The Island of Dr Moreau) และ "ดิ อินวิซิเบิล แมน" (The Invisible Man) เป็นต้น

ผลงานเขียนของเวลล์ ไม่เพียงแค่สร้างความบันเทิงหากแต่จินตนาการของเขาหลายเรื่องนั้น รศ.ดร.ชัยวัฒน์กล่าวว่ากำลังเป็นจริงในหลายๆ เรื่อง เช่น "ดิ อินวิซิเบิล แมน" ซึ่งจัดจัดเป็นนิยายวิทยาศาสตร์บริสุทธ์ คือไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังสร้างวัสดุที่เรียกว่า "เมตาแมทีเรียล" (meta material) อย่างผ้าคลุมล่องหน ที่ใกล้จะประสบความสำเร็จ หรือรถยนต์ล่องหน ซึ่งให้แสงเข้าไปในวัสดุดังกล่าวทุกทิศทุกทางแล้วออกจากวัตถุนั้นในพร้อมๆ กัน

หรือจะเรื่อง "ดิ ไอส์แลนด์ ออฟ ดร.มารู" ซึ่งพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "ไคเมรา" (Khimera) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ท่อนหัวเป็นหญิงสาวสวยแต่ท่อนล่างเป็นสัตว์ เป็นการตัดต่อสิ่งมีชีวิตข้ามสาย ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการตัดต่อสิ่งมีชีวิตข้ามสายพันธุ์ระหว่างสัตว์และพืช เช่น การตัดต่อยีนของหิ่งห้อยเข้าไปในใบยาสูบ เป็นต้น

ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นที่ทำให้เวลล์ปรารถนาที่จะเขียนหนังสือนั้น เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุในวัยเด็กที่ทำให้เขาขาหัก เขาจึงใช้เวลาไปกับการอ่าน ซึ่งนำเขาไปสู่อีกโลกหนึ่ง แต่ด้วยสถานะทางบ้านที่ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงต้องทำงานช่วยเหลือจุนเจือทางบ้าน และทำงานหลายอย่าง เขาเคยทำงานเป็นลูกจ้างร้านขายผักซึ่งทำให้เขาไม่มีความสุขนัก และประสบการณ์นั้นเองได้กลายเป็นวัตถุดิบในสร้างสรรค์งาน 2 เรื่อง คือ "เดอะ วีลส์ ออฟ แชนซ์" (The Wheels of Chance) และ "คิปปส์" (Kipps) ซึ่งเล่าเรื่องชีวิตของลูกจ้างขายผักและวิพากษ์วิจารณ์การกระจายความ มั่งคั่งของโลก

เวลล์เรียนชีววิทยาด้วยทุนที่โรงเรียนสามัญวิทยาศาสตร์ (Normal School of Science) ในเซาท์ เคนซิงตัน (South Kensington) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยรอยัลคอลเลจออฟไซน์ (Royal College of Science) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน (Imperial College London) ซึ่งแม้เขาจะผ่านทั้งวิชาฟิสิกส์และชีววิทยา แต่ด้วยความไม่สนใจธรณีวิทยา ทำให้เขาไม่ได้รับทุนต่อ

อย่างไรก็ดี เวลล์ก็ได้รับปริญญาสาขาสัตววิทยาในภายหลัง จากหลักสูตรนอกเวลาของมหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London External Programme) โดยระหว่างศึกษาเขาได้ทำงานเป็นครูสอนหนังสือด้วย

ทว่า หนังสือเล่มแรกของเขาไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นหนังสือที่มีชื่อว่า "แอนติซิแพชันส์" (Anticipations) ซึ่งเขียนขึ้นในปี 2444

รศ.ดร.ชัยวัฒน์กล่าวว่าคน จะจดจำบทบาทของเวลล์มากกว่าเวิร์น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครที่เขียนไซไฟหลากหลายแนวเรื่องได้มากเท่าเวลล์ งานเขียนของเขาเปิดกว้างมาก และเป็นแรงจูงใจให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นต่อๆ มา นักเขียนไซไฟที่มีความสามารถระดับน้องๆ ของ ซี คลาร์ก อย่าง ไบรอัน อัลดิสส์ (Brian Aldiss) เคยกล่าวไว้ว่า "เวลล์คือเช็คสเปียร์ของวงการไซไฟ"

" ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ฝรั่งเศส อังกฤษ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเขาจะก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับไซไฟ คนไทยเองก็มีจินตนาการเยอะ น่าจะลองมาสร้างผลงานตรงนี้ ส่วนตัวผมแล้วอ่านนิยายของเขาเยอะมาก และเขายังเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ให้ผม เหมือนกับ อาร์ซิมอฟ ซี คลาร์ก และจูลส์ เวิร์น" รศ.ดร.ชัยวัฒน์กล่าว.

thak data astv manager online

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

เปลือยชุดอวกาศใหม่นาซา พร้อมกลับดวงจันทร์-สำรวจดาวอังคาร


ภาพร่างชุดอวกาศใหม่ของนาซา จากเว็บไซต์ของบริษัทโอเชียเนียริงอินเตอร์เนชันแนล

ชุดอวกาศใหม่ของ นาซา สำหรับเดินทางกลับไปดวงจันทร์และภารกิจเยือนดาวอังคาร ใช้ประโยชน์ได้ครบทั้งเดินทางสู่วงโคจร นั่งยานพิเศษ และเดินบนพื้นผิวดาวอังคาร ด้วยระบบการทำงานแบบเดียวสามารถสลับได้เป็น 2 โครงสร้างเพื่อการใช้งานที่เหมาะสม

องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) เลือกว่าจ้างบริษัทโอเชียเนียริงอินเตอร์เนชันแนล (Oceaneering International) ให้พัฒนาชุดอวกาศรุ่นใหม่ ซึ่งมีระบบพร้อมสำหรับงานสำรวจระหว่างดวงดาว หรือ ซีเอสเอสเอส (CSSS: Constellation Space Suit System) ซึ่งสามารถรองรับภาระงานของนักบินอวกาศได้ทั้งหมด ภายในระบบเดียวสามารถเปลี่ยนโครงสร้างภายนอกได้ 2 แบบ เพื่อรองรับการเดินทางกลับไปเยือนดวงจันทร์อีกครั้ง และสำหรับการเดินทางสำรวจดาวอังคารในอนาคต

ทางนิตยสารป็อปปูลาร์เมคานิคส์ (Popular Mechanics) ได้อธิบายกลไกการทำงานของชุดอวกาศรุ่นใหม่ของนาซา ที่มีโครงสร้างภายนอก 2 แบบภายในระบบเดียว ซึ่งโครงสร้างภายนอกแบบที่ 1 (configuration 1) จะใช้เพื่อการเดินทางไปและกลับสู่โลก และการขับขี่ยานพิเศษในภาวะฉุกเฉิน และโครงสร้างภายนอกแบบที่ 2 (configuration 2) สำหรับขับขี่ยานพิเศษในภารกิจประจำ รวมถึงการเดินบนดวงจันทร์ และกระทั่งพื้นผิวดาวอังคาร

ป็ปปูลาร์เมคานิกส์เปรียบเทียบชุดอวกาศใหม่ของนาซาซึ่งในระบบเดียวกันนี้มีโครงสร้างภายนอก 2 แบบ

หมวกกันน็อค
โครงสร้างภายนอกแบบที่ 2 ออกแบบให้ที่บังแดดยื่นไปด้านหน้ามากขึ้น เพื่อมองระดับต่ำได้ชัดขึ้น

อุปกรณ์กู้ชีพ
สำหรับโครงสร้างภายนอกแบบที่ 1 มีสายส่งออกซิเจน ควบคุมอุณภูมิและอุปกรณ์สื่อสาร ส่วนของโครงสร้างภายนอกแบบที่ 2 มีเป้กู้ชีพพีแอลเอสเอส (Portable life-support system: PLSS) ด้านหลัง

ลำตัวและแขน
ลำตัวและแขนของโครงสร้างภายนอกแบบที่ 1 ออกแบบเพื่อความสบายและง่ายต่อการเคลื่อนไหวไปมา ระหว่างการเดินทางระยะยาว หรือเมื่ออยู่ในสถานีอวกาศ ส่วนลำตัวและแขนของโครงสร้างภายนอกแบบที่ 2 เชื่อมต่อกับเป้พีแอลเอสเอส และออกแบบให้สามารถเดินบนพื้นผิวของดวงจันทร์ได้นานๆ และสะดวกเท่าที่จะทำได้

ถุงมือ
ถุงมือของโครงสร้างภายนอกแบบที่ 1 ออกแบบให้เบาและใช้งานได้คล่องแคล่ว ส่วนของโครงสร้างภายนอกแบบที่ 2 อาจจะไม่คล่องแคล่วเท่าแบบที่ 1 แต่รองรับรูและรอยฉีกขาดได้มากกว่า

ชั้นนอก
ชั้นนอกของโครงสร้างภายนอกแบบที่ 1 มีคุณสมบัติหน่วงไฟ ส่วนโครงสร้างภายนอกแบบที่ 2 ทนทานต่อการฉีกขาดจากเศษวัตถุในอวกาศ

เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 2526 แล้ว มนุษย์อวกาศต้องใช้ชุดอวกาศหลายชุดสำหรับปฏิบัติการหนึ่งๆ แต่ระบบซีเอสเอสเอสนี้ ใช้เพียงชุดเดียวที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างภายนอกได้ และยังมีน้ำหนักเบากว่า รวมทั้งราคาถูกกว่าระบบเดิม

สำหรับชุดอวกาศที่มีโครงสร้างภายนอกแบบที่ 1 นั้นจะใช้งานกับปฏิบัติการโอไรออน (Orion) ในปี 2558 และโครงสร้างภายนอกแบบที่ 2 จะใช้เพื่อเดินทางกลับไปเยือนดวงจันทร์ในปี 2563

ภาพประกอบจากเว็บไซต์ wired

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

เนคเทคเตรียมจัดงานประจำปี โชว์ผลงานเด่น "พาเที่ยวอยุธยาผ่านมือถือ"


ดร.พัน ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค (กลาง) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดประชุมวิชาการและนิทรรศการประจำปี 2552 และงานมหกรรมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแห่งชาติ ครั้งที่ 9 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 ก.ย. 52 ณ ศูนย์การประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี


เนคเทคระดมผลงานเด่นเตรียมโชว์ในงานประจำปี อาทิ ที-บอกซ์ รบกวนสัญญาณมือถือ, ระบบรายงานสภาพการจราจร, ล่ามอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมงานวิจัยไฮไลต์ ซอฟต์แวร์นำเที่ยวทั่วไทยผ่านมือถือ ชูแนวคิดกระตุ้นเศรษฐกิจไทยสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) แถลง ข่าวการจัดประชุมวิชาการและนิทรรศการประจำปี 2552 (NECTEC-ACE 2009) และงานมหกรรมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแห่งชาติ ครั้งที่ 9 พร้อมนำผลงานน่าสนใจมาร่วมจัดแสดงในระหว่างการแถลงข่าวที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา

ดร.พันศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่า การจัดประชุมวิชาการประจำปีของเนคเทค มุ่งให้เป็นเวทีระดมสมองของนักวิชาการและหน่วยงานทั้งภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเรียนรู้เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ พร้อมนำผลงานวิจัยและพัฒนานำมาร่วมจัดแสดงในงานนี้ รวมถึงให้ประชาชนผู้สนใจที่มาร่วมงานได้รู้จักเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีโอกาสแลกเปลี่ยนหรือเรียนรู้จากนักวิจัยได้โดยตรง

การ นำเสนอผลงานวิจัยของงานประจำปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "เทคโนโลยี ECIT กับการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์: การสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิต" โดยเน้นบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม และสารสนเทศ ที่มีต่อการสร้างระบบเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) เพื่อนำไปสู่การสร้างงานสร้างรายได้และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน

ดร.พันศักดิ์ ยกตัวอย่างไฮไลต์ผลงานวิจัยที่จะร่วมนำมาแสดงในงานปีนี้คือ ระบบแนะนำแผนที่ท่องเที่ยวผ่านโทรศัพท์มือถือ ผล งานวิจัยของ ดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา นักวิจัยเนคเทค ที่ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์มาใช้ พัฒนาระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในด้านการท่องเที่ยว

ดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา นักวิจัยเนคเทค อธิบายการทำงานของระบบแนะนำแผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เนคเทค)


"กลุ่มเป้าหมายแรกคือคนไทย เพื่อ ส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวประเทศไทยโดยมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกมากขึ้น ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ได้เห็นความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ และความสำคัญ เกิดความซาบซึ้งและภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย นอกจากนั้นจะทำให้เป็นรูปแบบภาษาอังกฤษด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่อง เที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ของประเทศไทยมากขึ้น และไม่กระจุกอยู่แต่เฉพาะบางแห่งเท่านั้น" ดร.พันศักดิ์ กล่าวกับสื่อมวลชนและทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์

ด้าน ดร.รัฐภูมิ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ระบบ แนะนำแผนที่ท่องเที่ยวผ่านโทรศัพท์มือถือจะช่วยวางแผนการท่องเที่ยว ช่วยให้นักท่องเที่ยวบริหารจัดการการท่องเที่ยวของตนได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือที่สามารถใช้งานเว็บเบราเซอร์ได้ เบื้องต้นได้นำร่องกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวบรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัด สามารถแสดงได้ทั้งภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย และข้อมูลโดยย่อของสถานที่นั้น

วิธีการใช้งานเพียงแค่เลือกสถานที่ท่องเที่ยวภายในเว็บไซต์ผ่าน โทรศัพท์มือถือ ระบบก็จะคำนวณและวางแผนการท่องเที่ยวในบริเวณดังกล่าวให้ว่ามีสถานที่ท่อง เที่ยวอะไรบ้าง จะเดินทางอย่างไร ควรเริ่มต้นเที่ยวชมที่ไหนก่อน พร้อมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ ร้านอาหาร ที่พัก และแหล่งซื้อหาสินค้าทางวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางหากมีการเปลี่ยนแผนการท่องเที่ยวหรือ ปิดเส้นทางเดินรถ ซึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ และคาดว่าจะสามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวใช้งานได้ในช่วงปลายปีนี้

นอกจากนี้ยังมือผลงานเด่นอื่นๆ ที่เนคเทคจะนำมาร่วมจัดแสดงในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการประจำปี 2552 อาทิ เครื่องรบกวนสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ (T-Box 3.0), เครื่องวัดความชื้นและอุณหภูมิในไซโลอบข้าว, ระบบรายงานสภาพการจราจร (Traffy), ระบบตามรอยวัตถุ (SWOT), ระบบล่ามอิเล็กทรอนิกส์, ระบบสนับสนุนคลังบทเรียนออนไลน์ภาษาถิ่นมลายู และเทคโนโลยีตรวจวัดเรือนร่างสามมิติ เป็นต้น

รวมทั้งกิจกรรมการบรรยายพิเศษในหัวข้อต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น "เทคโนโลยี ECIT กับการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ : การสร้างงานสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิต" โดย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, "เศรษฐกิจสร้างสรรค์ : บทบาทของการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าสินค้าและบริการทางสาธารณสุขของ ไทย และ Open Source Software Licenses : ประเด็นน่ารู้ทางกฎหมายและการประยุกต์ใช้งานในองค์กร

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานประชุมวิชาการและนิทรรศการประจำปี 2552 และงานมหกรรมซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สแห่งชาติ ครั้งที่ 9 ได้ระหว่างวันที่ 23-25 ก.ย. 52 ณ ศูนย์การประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nectec.or.th/ace2009

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

"สโตนเฮนจ์" กลุ่มหินพิศวง สิ่งมหัศจรรย์ของโลก


มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?


ณ วันนี้ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ตอกย้ำให้เห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่อุบัติขึ้นบนโลกยังคงความลี้ลับ ชวนพิศวง ไม่สามารถอธิบายด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์อย่างกระจ่างชัด ดังกรณี กลุ่มหินประหลาดขนาดใหญ่ที่วางเรียงรายเป็นวงกลมกลางท้องทุ่งกว้างใหญ่ ในบริเวณที่ราบซัลลิสเบอร์รี่(Salisbury) ในเขต Wiltshire ทางตอนใต้ของอังกฤษ หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge)

สโตนเฮนจ์ หมายถึง หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) เชื่อกันว่ามันมีอยู่มาตั้งแต่ 5,000 ปีมาแล้ว แม้นักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่า "สโตนเฮนจ์" เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง? และจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร?


กลุ่มหินอันเป็นปริศนาตั้งอยู่กลางที่ราบSalisbury

ในสมัยก่อนตอนฉันยังเด็กๆเคยได้อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องกลับไปใน อดีตในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ได้โดยอาศัยวันที่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์เพื่อเปิด ประตูเชื่อมที่สโตนเฮนจ์เพื่อไปทำหน้าที่เอาตัวเองเป็นผนึกปิดประตูมิติ ระหว่างโลกมนุษย์กับโลกอันชั่วร้าย

ในตอนนั้นเมื่อฉันได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วก็สงสัยว่าสโตนเฮนจ์ ที่ปรากฏในการ์ตูนมีจริงหรือไม่ มันเป็นอย่างไรและเมื่อโตขึ้นฉันก็ได้รู้ว่าสโตนเฮนจ์มีอยู่จริง และเรื่องในการ์ตูนก็อ้างอิงความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าสโตนเฮนจ์ เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์และการโคจรของโลก


ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ในที่ราบ Salisbury


ขณะที่นักวิชาการและนักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่ามันเป็นซากปรักหัก พังของวิหารโรมัน บ้างก็ว่าใช้เป็นที่ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์ บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ หรือบางท่านก็เชื่อว่าเป็นสถานที่สำหรับเยียวยาผู้ป่วย เพราะในบริเวณนี้มีกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่เจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บมากผิด ปกติ

ส่วนนักดาราศาสตร์ก็อ้างว่าสามรถถอดรหัสแนวหินสโตนเฮนจ์ได้ เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวณเวลายุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และ โหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้อนต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น แม้ทฤษฎีทั้งหลายจะมีตัวเลขและสถิติผลการวิจัยสนับสนุน แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์

แต่อย่างไรก็ตามความลึกลับชวนค้นหานั้นเองที่ทำให้ "Stonehenge" ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของอังกฤษ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลมาเยี่ยมชมกลุ่มหิน ประหลาดนี้


Stone Circles กับหมู่บ้าน Avebury

สำหรับรูปลักษณะของสโตนเฮนจ์ ประกอบไปด้วยแนวหินขนาดใหญ่วางเรียงรายราว 3 กิโลเมตร มีหินทั้งสิ้นประมาณ 112 ก้อน เป็นรูปวงกลมซ้อนกัน 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน

วงนอกเป็นแผ่นหินทรายขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูงประมาณ 13 ฟุต วงกลางและวงในเป็นหินสีฟ้า ซึ่งเชื่อว่าเป็นหัวใจของสโตนเฮนจ์ โดยวงกลางมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มี 2 ก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต ส่วนวงในสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ลักษณะของหินในชั้นนี้ล้มบ้างตั้งบ้าง เฉลี่ยแล้วสูงประมาณ 13 ฟุต หนักประมาณ 26 ตัน


Avebury Stone Circles กว้างถึง 348 เมตร


ความน่าพิศวงอีกอย่างหนึ่งของสโตนเฮนจ์คือ บริเวณรอบๆนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาหรือสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่นๆ จึงเป็นปริศนาว่าหินก้อนยักษ์เหล่านี้มาจากที่ไหน และด้วยความหนักและใหญ่โตของหินแต่ละก้อนจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ หากมนุษย์เราที่ยังไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้เครื่องทุนแรงจะยกหรือลากมันมา ได้ จึงมีความเชื่อของคนบางกลุ่มว่า สโตนเฮนจ์เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ

เช่นเดียวกับที่หมู่บ้าน "Avebury" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Stonehenge ห่างไปประมาณ 25 กิโลเมตร ที่ Avebury แห่งนี้เองก็มีลักษณะคล้ายกับสโตนเฮนจ์คือมีหินขนาดใหญ่วางเรียงห่างๆกัน เป็นวงกลมชั้นเดียว เรียกกันว่า "Avebury Stone Circles"


ร่องรอย Crop Circle ปริศนากลางทุ่งกว้าง


โดยหินแต่ละก้อนจะถูกวางอยู่อย่างโดดๆ ห่างกันประมาณ 10 เมตร รวมแล้วกว้างถึง 348 เมตร มีถนนตัดผ่านกลางวงหิน ซึ่งหากมองในมุมสูงจะเห็นเป็นวงกลมได้อย่างชัดเจน แม้ที่ Avebury Stone Circles แห่งนี้จะดูไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่าสโตนเฮนจ์ แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด และก็ยังคงความลี้ลับเช่นเดียวกับสโตนเฮนจ์

และหากนำแท่งเหล็กรูปตัว L 2 แท่ง เอามือกำด้านสั้นไว้อย่างหลวมๆ ให้แนวแท่งเหล็กทั้งสองขนานกัน แล้วค่อยๆเดินไปทางทิศใต้ของวงหิน จะเห็นว่าแท่งเหล็กทั้งสองที่ขนานกัน มันจะค่อยๆเบนเข้าหากันจนไขว้กันในที่สุด และหากเดินถอยหลังกลับแท่งเหล็กทั้งสองก็ค่อยๆกลับมาขนานกันอีกครั้ง ซึ่งก็ถือว่าน่าอัศจรรย์มาก


Salisbury Cathedral มหาวิหารอันสวยงาม


ไม่เพียงเท่านั้นที่ทุ่ง Avebury แห่งนี้ยังเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Crop Circle" หรือปรากฏการณ์วงกลมปริศนาบนพื้นที่ไร่นา ไร่ข้าวโพ ข้าวบาร์เล่ย์ หากมองในมุมสูงจะเห็นเหมือนเป็นตราประทับหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง หากนึกไม่ออก ก็ไปดูในภาพยนตร์เรื่อง "Signs" ที่นำแสดงโดย Mel Gibson เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายๆประเทศทางแถบ ยุโรปและอเมริกา ในพื้นที่ไร่ข้าวโพดอันกว้างขวาง วันดีคืนดีเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้าวโพดล้มลงจำนวนมากเป็นรูปวงกลมและรูป ทรงเลขาคณิตอื่นๆ โดยเกิดขึ้นในฤดูร้อนซึ่งก็เป็นปริศนาอีกเช่นกันว่าใครเป็นคนทำ? และด้วยจุดประสงค์อะไร?

เรื่องลี้ลับเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมายลโฉมและพยายามไขปริศนาของโลกที่ยังคงถูกเก็บงำมานานหลายพันปี


บรรยากาศแบบกอธิคใน Salisbury Cathedral



นอกจากสถานที่ปริศนาอันลี้ลับแล้ว เมือง"Salisbury" เมืองเล็กๆน่ารัก เงียบสงบ เมืองอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ชวนพิศวงในข้างต้น ยังมีสิ่งชวนชมอย่าง "Salisbury Cathedral" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Cathedral of Saint Mary"

Salisbury Cathedral เป็นมหาวิหารอันสวยงามอลังการ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1221 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1280 รวมแล้วใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 59 ปีด้วยกัน และได้รับสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ.1258 สถาปัตยกรรมของมหาวิหารแห่งนี้เป็นแบบกอธิคของอังกฤษตอนต้น ที่เป็นแนวเดียวกันหมดเพราะสร้างรวดเดียวเสร็จ ไม่เหมือนมหาวิหารอื่นที่ใช้เวลาหลายร้อยปีจึงสร้างเสร็จ ทำให้ลักษณะสถาปัตยกรรมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย


บรรยากาศน่ารักๆในเมือง Salisbury


ยอดของมหาวิหารสูงจากพื้น 123 เมตร ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร ด้านระเบียงคดก็มีเนื้อที่มากที่สุด และเนื้อที่บริเวณรอบมหาวิหารซึ่งเท่ากับ 80 เอเคอร์ ก็ถือว่ากว้างใหญ่ที่สุดในอังกฤษเช่นกัน นอกจากนั้นมหาวิหารยังมีนาฬิกาที่สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1386 ที่ในปัจจุบันยังสามารถใช้การได้

ใกล้ๆกับมหาวิหารเป็นแหล่งช้อปปิ้งของฝากของที่ระลึกที่นอกจากจะ เลือกซื้อของติดไม้ติดมือกลับบ้านแล้ว ยังสามารถเดินชมเมืองชนบทแห่งนี้ และอาคารบ้านเรือนแบบอังกฤษได้อย่างไม่ไกลอีกด้วย


วิวทิวทัศน์แม่น้ำอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติที่เมือง Salisbury


Thak Data ASTV

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

โศกนาฎกรรมตามรอยพ่อ! ลูกชายนักบินยานโคลัมเบียพา F-16 โหม่งโลก


อัสซาฟ รามอน (ขวา) กับ ชิมอน เปเรส (Shimon Peres) ประธานาธิบดีอิสราเอล ในวันสำเร็จการศึกษาเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา



ลูกชายนักบินอวกาศอิสราเอลประจำยานโคลัมเบีย ที่ระเบิดกลางอากาศเมื่อ 6 ปีก่อน ขับเครื่องบินเอฟ-16 โหม่งโลกเสียชีวิตตามบิดา ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เลื่อนพบตัวแทนสันติภาพตะวันออกกลาง เพื่อเคารพศพ ขณะที่สื่อมวลชนประโคมข่าวการเสียชีวิตถึง 2 วันซ้อน ท่ามกลางความอาลัยของชาวอิสราเอลจำนวนมาก ต่อลูกชายฮีโร่ของชาติ

เป็นข่าวเศร้าอีกครั้งสำหรับชาวอิสราเอล เมื่อร้อยโทอัสซาฟ รามอน (Assaf Ramon) นักบินของกองทัพอากาศอิสราเอลวัย 21 ปี บุตรชายคนโตของนาวาอากาศเอกอิลาน รามอน (Ilan Ramon) นักบินอวกาศคนแรกของอิสราเอล ที่เสียชีวิตในโศกนาฎกรรมกระสวยอวกาศโคลัมเบียระเบิดกลางอากาศเมื่อปี 2546 ต้องเสียชีวิตตามบิดา ไปกับอุบัติเหตุระหว่างขับเครื่องบินรบเอฟ-16

เอเอฟพีระบุคำแถลงของกองทัพอิสราเอลว่า เครื่องบินเอฟ-16 ที่ร้อยโทรามอนขับเพียงลำพังนั้น พุ่งตกบริเวณหุบเขาอันห่างไกลบริเวณเขตเวสต์แบงก์ (West Bank) เมื่อวันที่ 13 ก.ย.52 ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความสะเทือนใจอีกครั้ง ให้กับชาวยิวในอิสราเอล เนื่องจากอิลาน รามอนนับเป็นฮีโร่ของชาติ

"มันเป็นวันที่แสนเศร้า ปวดร้าวใจอย่างยิ่ง เราทั้งหมดจะอยู่เคียงข้างกับครอบครัวของรามอน" อีฮัด บารัค (Ehud Barak) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลกล่าว ขณะที่นายเบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เลื่อนการพบ จอร์จ มิทเชลล์ (George Mitchell) ผู้แทนสันติภาพตะวันออกกลางจากสหรัฐฯ เพื่อเข้าร่วมพิธีศพของอัสซาฟ ที่ฝังไว้เคียงพ่อของเขาในกรุงเทลอาวีฟ

"วันนี้ ทั้งประเทศต่่างถูกครอบงำด้วยความหดหู่ใจ แบบไม่ทันตั้งตัว และไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น กับการจากไปอย่างกระทันหันของอัสซาฟ รามอน ที่ตกจากท้องฟ้าเหมือนบิดาของเขา" นายกรัฐมนตรีแห่งอิสราเอลกล่าว ระหว่างพิธีศพ

สถานีวิทยุต่างๆ ของอิสราเอลก็เปิดเพลงเศร้าตลอดวันเพื่อเป็นการไว้อาลัย ขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ก็นำเสนอเรื่องราวของอัสซาฟ ทั้งเรื่องและภาพ ถึง 2 วันซ้อน โดยเฉพาะในช่วงที่จบคอร์สฝึกฝนการขับเอฟ-16 เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา อยู่หลายหน้า

อีกทั้งระหว่างการฝึกฝนขับเครื่องบิน อัสซาฟเคยต้องนำเอฟ-16 ลงจอดฉุกเฉินเพราะเครื่องยนต์ขับข้อง โดยทำตามคำแนะนำของครูฝึก

หลังจากจบการฝึกเบื้องต้น อัสซาฟก็เริ่มคอร์สที่ยากขึ้น ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และเหตุเครื่องบินที่ตกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจการฝึกฝนประจำวัน ซึ่งสื่ออิสราเอลบอกว่า เขามีพัฒนาการขึ้นมาก ถึงขั้นเป็นนักบินที่ดี

เฮลิคอปเตอร์ของอิสราเอลกำลังค้นหาร่องรอยเครื่องบินเอฟ-16 ที่อัสซาฟประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต


อย่างไรก็ดี ทางโฆษกของกองทัพอากาศ ได้เลื่อนยศของเขาจากร้อยโทเป็นร้อยเอก

หลังโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับบิดา อัสซาฟเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะเป็นนักบินอวกาศให้ได้ในสักวันหนึ่ง

ทั้งนี้ อิลาน รามอน ผู้เป็นบิดาของเขา เสียชีวิตพร้อมกับนักบินอวกาศอีก 6 นายที่โดยสารกระสวยอวกาศโคลัมเบีย และยานระเบิดระหว่างกลับสู่โลกเมื่อวันที่ 1 ก.พ.46 ขณะที่กระสวยอวกาศอยู่เหนือมลรัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ

อัส ซาฟ รามอน ขณะอายุ 13 ปี ถ่ายรูปคู่กับ อิลาน รามอน ผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นนักบินอวกาศคนแรกของอิสราเอลและเสียชีวิตในโศกนาฏกรรมโคลัมเบีย เมื่อปี 2546



อิลาน เป็นบุคคลสำคัญและเป็นฮีโร่ของชาวอิสราเอล หลังจากที่เขามีส่วนร่วมกับภารกิจโจมตีทางอากาศเพื่อทำลายเตาปฏิกรณ์ นิวเคลียร์ของอิรักในปี 2524 อีกทั้งในปีเดียวกัน เขายังขับเอฟ 16 อารักขาให้กับเครื่องบินต่อสู้ของสหรัฐฯ เข้าดินแดนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อโจมตีเตาปฎิกรณ์นิวเคลียร์ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้น

จากนั้น อิลานก็ได้รับคัดเลือกจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) เมื่อปี 2540 โดยหนึ่งในภารกิจบนอวกาศของเขาคือบันทึกภาพพายุทรายในตะวันออกกลางให้แก่ องค์การอวกาศอิสราเอล (Israel Space Agency: ISA) เพื่อนำไปวิเคราะห์ความเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อน.

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

qipit l เปลี่ยนมือถือให้เป็นสแกนเนอร์





ทุกวันนี้คนหลากหลายวงการต่างพากันตั้งชื่อใหม่ให้กับ "โทรศัพท์มือถือ" อย่างหรูหราว่าเป็น "สื่อมวลชนแขนงที่ 7" หรือ "จอที่ 4" ซึ่งเป็นจอที่ทุกคนพกติดตัวไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา และใช้เวลาเฝ้ามองมากเสียยิ่งกว่าจอแอลซีดีคอมพิวเตอร์

นั่นก็เพราะทุกวันนี้ความสามารถของมือถือล้ำหน้าและเหนือการคาดเดา มากขึ้นทุกที อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องเล็กจิ๋ว แต่สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรานึกไม่ถึง ตั้งแต่เรื่องเบสิกอย่าง การเป็นวอล์กกี้ ทอล์กกี้ ดิกชันนารีพูดได้ ดูทีวีครบทุกช่อง เป็นเครื่องมือนับจำนวนก้าวในการเดิน ฯลฯ

อย่างนั้นลองสำรวจดูกันว่ามือถือของตัวคุณเอง...ทำอะไรได้อีก บอกได้เลยว่าถ้ามือถือของคุณมีกล้องดิจิตอลความละเอียดตั้งแต่ 1.3 ล้านพิกเซลขึ้นไป มันจะสามารถเป็นสแกนเนอร์เคลื่อนที่ให้กับคุณได้ด้วย! โดยไม่ต้องลงโปรแกรมใดๆ เพิ่มเติมในมือถืออีก!

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง...มือถือติดกล้อง 1.3 ล้านพิกเซลของคุณสามารถเป็นเครื่องสแกนภาพได้ มีรายละเอียดดังนี้

qipit (อ่านว่า "ควิปอิท") คือ บริการที่เปลี่ยนมือถือของคุณให้กลายเป็นเครื่องสแกนภาพฟรีโดยไม่ต้องลง โปรแกรมใดๆ ที่เครื่องมือถืออีก และทันทีที่สแกนเสร็จคุณสามารถส่งเป็นอีเมลหรือแฟกซ์ไปยังผู้รับได้ทันทีและ ฟรี นอกจากนี้ยังนำเอกสารที่สแกนแล้วไปติดบนบล็อกได้อีกด้วย

สถานการณ์ไหนที่สามารถใช้มือถือสแกนภาพ

* ถ่ายภาพเลกเชอร์ที่อาจารย์จดบนกระดานไวท์บอร์ด

* ถ่ายภาพจากสมุดโน้ต หรือ บันทึกการประชุม

* ถ่ายภาพหน้าปก หรือเนื้อในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่เราต้องการ

ดูตัวอย่างสไลด์อธิบายการทำงานของ qipit ได้ที่นี่


Qipit Mobile Scanning Challenges Solutions
View SlideShare presentation or Upload your own. (tags: realeyes3d qipit)


สำรวจมือถือของคุณว่าพร้อมจะทำหน้าที่เป็นสแกนเนอร์หรือยัง?
* กล้องมือถือมีความละเอียดอย่างน้อย 1.3 ล้านพิกเซล

* ต้องเปิดใช้บริการ GPRS/MMS แล้ว หรือมีไว-ไฟก็ยิ่งดี

* ไม่ได้ตั้งค่าโหมดถ่ายภาพเป็นแบบภาพความคมชัดต่ำ (low resolution)

* ก่อนส่งจะต้องมั่นใจว่าเครื่องมือถือไม่ได้ทำการย่อขนาดภาพแบบอัตโนมัติให้

วิธีการใช้งาน qipit

1. สมัครสมาชิกที่นี่ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเลือกรุ่นโทรศัพท์มือถือของคุณ

2. รอรับอีเมลจาก qipit และกดที่ลิงก์ที่ในอีเมลเพื่อยืนยันการสมัครสมาชิก

3. ส่งภาพจากมือถือไปยังระบบของ qipit

ส่งภาพสีให้กรอกอีเมล color@qipit.com
ส่งภาพขาวดำให้กรอกอีเมล copy@qipit.com

หากต้องการส่งภาพที่สแกนแล้วไปให้ผู้อื่นด้วยก็ให้กรอกอีเมลของเพื่อน หรือ เบอร์แฟกซ์ (ตัวอย่าง +66811111111) ในเนื้อจดหมาย (ไม่ใช่ชื่อหัวเรื่อง)
4. รอสักพัก เราและเพื่อนก็จะได้เมลเอกสารที่สแกนเสร็จแล้ว ซึ่งประกอบไปด้วยไฟล์ภาพ .JPG และไฟล์เอกสาร PDF (สำหรับพร้อมสั่งพิมพ์) หรือถ้าส่งเป็นแฟกซ์ก็จะได้รับแฟกซ์

อย่างไรก็ดีคุณสามารถเข้าสู่ระบบที่เว็บของ qipit ก็จะพบเอกสารที่เราสั่งสแกนไว้ทั้งหมดเช่นกัน

และหากคุณต้องการนำภาพที่สแกนแล้วไปโพสไว้ที่บล็อก ก็เพียงกดปุ่ม Public (อยู่ด้านข้างของภาพ) ก็จะสามารถได้โค้ดของเอกสารที่สแกนแล้วไปติดที่บล็อกได้ทันที

สำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ และสามารถสแกนได้ฟรี 100 หน้า

ดูตัวอย่างวิดีโอสาธิตการใช้งาน qipit ได้ที่นี่



วิดีโอแนะนำ qipit ที่ออกอากาศทีวีทางช่อง NBC




สิ่งสำคัญที่ทำให้ qipit เป็นบริการสแกนภาพสำหรับมือถือที่โดดเด่นคือเทคนิคการสแกนภาพของ qipit นั้นมิใช่เทคโนโลยีที่เราคุ้นเคยอย่าง OCR (Optical character recognition) แต่เป็นเทคโนโลยีที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ที่สามารถป้องกันภาพเบลอ ขจัดการรบกวน (Noise) เพิ่มความคมชัด และแก้ไขตัดเงาของผู้ถ่ายภาพออกจากภาพได้ และแน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้มันเป็นความลับ

ข้อแนะนำเบื้องต้นในการใช้งาน qipit

1. ต้องเห็นเอกสารที่ต้องการถ่ายครบหมดในจอภาพของมือถือ

2. หากมือถือของคุณมีระบบเน็ตไร้สาย (ไว-ไฟ) ก็สามารถส่งภาพไปสแกนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

แต่ถ้ามือถือของคุณไม่มีไว-ไฟ ก็จะต้องส่งผ่านระบบ MMS (ซึ่งจะต้องมีการเปิดใช้บริการทั้ง MMS/GPRS แล้ว) ซึ่งอัตราค่าบริการก็ตามแต่โปรโมชันมือถือของคุณ สำหรับราคามาตรฐานของ MMS คือ 5 บาท/ครั้ง

3. หากมีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งค่าเครื่องมือถือเพื่อใช้บริการของ qipit สามารถคลิกดูรายละเอียดได้ที่นี่

ข้อดี

* สำหรับค่าบริการในการส่งแฟกซ์นั้นฟรี และส่งไปได้ทั่วโลก

* ใช้ได้กับมือถือความละเอียด 1.3 ล้านพิกเซล เกือบทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น

* ระบบทำงานไวมากส่งเสร็จไปถึง 30 วินาทีก็ทำการส่งผลการสแกนเข้าเมลอย่างเรียบร้อย

* ใช้กับกล้องถ่ายรูปแบบดิจิตอลก็ได้

* มีระบบความปลอดภัยค่อนข้างดีด้วยการเข้ารหัสเว็บด้วย https สังเกตจากแถบที่อยู่เว็บจะมีรูปกุญแจอยู่ด้านท้าย ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าเอกสารของคุณจะเก็บไว้อย่างเป็นส่วนตัวและปลอดภัย


ข้อเสีย

* หากถ่ายภาพในที่มีแสงมากน้อย ภาพจะไม่คมชัดเท่าที่ควร

* มีการจำกัดพื้นที่ให้เก็บภาพได้เพียง 100 หน้า

เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับ qipit

qipit เป็นบริษัทลูกของบริษัท Realeyes3D ผู้นำด้านเทคโนโลยีการสแกนภาพสำหรับโทรศัพท์มือถือแห่งฝรั่งเศส แต่ตัวบริษัท qipit เองตั้งอยู่ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2005 และมีการเปิดตัวบริการนี้ครั้งแรกที่เวที 3GSM Mobile World Congress ในระยะแรกใช้ชื่อบริการว่า ClicktoScan ปีต่อมาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น qipit ที่อ่านว่า "ควิปอิท"

วันนี้ ที่ พศ. 2551 ใครจะไปคิดว่าเราจะสามารถพกสแกนเนอร์ไว้ในกระเป๋าเสื้อได้... คุณก็เริ่มเชื่ออย่างสนิทใจแล้วใช่ไหมว่า "โลกอนาคต" อยู่ในฝ่ามือเราจริงๆ
อ่านเพิ่มเติมได้จาก http://www.manager.co.th/CBizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9510000140901

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

พบ "มดจากดาวอังคาร" ในป่าอะเมซอน สืบเชื้อสายยาวนาน 120 ล้านปี


มด ชนิดใหม่ Martialis heureka ที่พบอาศัยอยู่ใต้ดินใจกลางป่าอะเมซอน มีสีซีดกว่ามดทั่วไป จงอยปากใหญ่ และมองไม่เห็น ที่สำคัญเป็นเผ่าพันธุ์มดที่ดำรงชีวิตอยู่บนโลกมายาวนานถึง 120 ล้านปี (ภาพจาก Christian Rabeling, the University of Texas at Austin)


สิ่งมีชีวิตใหม่ ในสารบบวิทย์ยังถูกค้นพบอยู่เรื่อยๆ บนโลก ล่าสุดนักชีววิทยาพบมดชนิดใหม่ ที่มีลักษณะแปลกประหลาด กลางป่าอะเมซอน จึงต้องขนานนามให้ว่า "มดจากดาวอังคาร" และยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่ยืนยงบนโลก มานานถึง 120 ล้านปีแล้ว

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัสแห่งเมืองออสติน (University of Texas at Austin) มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เปิดเผยการค้นพบมดชนิดใหม่ในป่าอะเมซอน ประเทศบราซิล และได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสารสมาคมวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ (Proceedings of the National Academy of Sciences)

ไซน์เดลีรายงาน โดยอ้างอิงข้อมูลจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสว่า มดชนิดใหม่ที่นักวิจัยเพิ่งค้นพบนี้มีชื่อว่า มาร์เทียลิส ฮิวเรกา (Martialis heureka) ซึ่งมีความหมายว่า "มดจากดาวอังคาร" (ant from Mars) เนื่องจากมีรูปร่างแปลกประหลาดกว่ามดทั่วไป ซึ่งมดชนิดนี้มีการปรับตัว ให้สามารถอาศัยอยู่ใต้ดินได้เป็นอย่างดี มีขนาดยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร มีสีซีดๆ จงอยปากใหญ่มาก และไม่มีตา

ทั้งนี้ นักวิจัยนักวิจัยได้แยกเอาดีเอ็นเอของมดจากบริเวณขา มาศึกษา ทำให้พบว่าเป็นมดสปีชีส์ใหม่ สกุลใหม่ และยังจัดอยู่ในวงศ์ย่อย (subfamily) วงศ์ใหม่อีกด้วย และเป็นครั้งแรกที่แยกวงศ์ย่อยของมดจากตัวอย่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งค้นพบตั้งแต่ปี 2467 โดยที่ผ่านมาแยกวงศ์ย่อยของมดได้จากตัวอย่างมดที่เป็นฟอสซิล

จากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอของมดดังกล่าว นักวิจัยยังพบอีกว่า มดชนิดนี้มีวิวัฒนาการ อยู่ในส่วนฐานของลำดับการวิวัฒนาการของมด และคำนวณอายุย้อนหลังไปได้ราว 120 ล้านปี ซึ่งมดนั้น แยกเผ่าพันธุ์มาจากบรรพบุรุษของสัตว์ จำพวกต่อแตนมานานกว่า 120 ล้านปี และวิวัฒนาการต่อมาอย่างรวดเร็วจนมีหลากหลายชนิด ที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในดิน หรือใต้ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาทับถมกัน

การค้นพบครั้งนี้ คริสเตียน ราเบลิง (Christian Rabeling) นักชีววิทยาที่เป็นหัวหน้าทีม เผยว่า อาจเป็นนัยที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต ที่ยังแอบซ่อนอยู่ใต้ดิน ภายในเขตป่าฝน ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษาวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของมดเป็นอย่างยิ่ง เพราะมดเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปและมีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์

นอกจากนี้ ยังเป็นหลักฐานสนับสนุนข้อมูลการปรากฏตัวขึ้นของนักล่าใต้พื้นพิภพเช่นมด เผ่าพันธุ์นี้ที่มีมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของวิวัฒนาการมด แต่อย่างไรก็ตาม ราเบลลิงไม่ได้ชี้ชัดว่าบรรพบุรุษของมดทั้งหมดมองไม่เห็นและอาศัยอยู่ใต้ดิน เพียงแต่ว่าลักษณะแบบนั้นคือวิวัฒนาการของมดในยุคแรกๆ และสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบันเท่านั้นเอง

"จากข้อมูลที่มีอยู่ พวกเราสันนิษฐานกันว่าบรรพบุรุษของมดชนิดนี้น่าจะเป็นบางสิ่งที่มีลักษณะ คล้ายๆ กับตัวต่อ หรือบางทีอาจคล้ายกับฟอสซิลของมดสฟีโคเมอมา (Sphecomyrma) ที่พบในอำพันเก่าแต่ตั้งแต่สมัยครีเตเชียส ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการอยู่ระหว่างตัวต่อและมด" ราเบลิง เผยถึงความน่าจะเป็น

ราเบลิงยังบอกอีกว่าเจ้ามดชนิดนี้ อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมเขตร้อนชื้นที่มีความเสถียรภายในป่าอะเมซอน ซึ่งมีมดคู่แข่งชนิดอื่นอยู่ไม่มากนัก และมีความสัมพันธ์กับสภาพภูมิอากาศเฉพาะถิ่น (microclimate) ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์ที่ยังสงวนลักษณะของบรรพบุรุษเอาไว้ได้จนถึง ปัจจุบัน.
Thak data ASTV

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

เกาหลี-รัสเซียร่วมวิจัย ส่งกิมจิเป็นเสบียงสู่ดาวอังคาร


กิมจิจากเกาหลีใต้จะเป็นเสบียงสำหรับฝึกนักบินอวกาศเพื่อจำลองสภาพการเดิน ทางไกลสู่ดาวอังคาร ไม่แน่ว่าอนาคตอาหารประจำชาติจากแดนโสมจะเป็นเสบียงที่ขับเคลื่อนนักบินให้ ไปถึงดาวแดง (ภาพประกอบทั้งหมดจากเอเอฟพี)


เกาหลีใต้จับมือรัสเซียทดลองความเป็นไปได้ ลำเลียงกิมจิเป็นเสบียงสู่ดาวอังคาร พร้อมอาหารสัญชาติเกาหลีอีก 3 อย่าง เบื้องต้นเตรียมทดลองให้นักบินกินอาหารประจำชาติแดนโสม เป็นเวลา 120 วัน แล้ววัดผลกระทบต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ทั้งนี้เอเอฟพีรายงานว่า สถาบันวิจัยพลังงานปรมาณูเกาหลี (Korea Atomic Energy Research Institute) ได้ลงนามข้อตกลงกับสถาบันด้านประเด็นชีวการแพทย์หรือไอเอ็มบีพี (Institute of Biomedical Problems: IMBP) ในกรุงมอสโกว ประเทศรัสเซีย ในการร่วมมือวิจัยอาหารพร้อมทาน จากอาหารประจำชาติของเกาหลี 4 อย่าง ได้แก่ บุลโกกีหรือเนื้อย่างแบบเกาหลี พิพิมพัพหรือข้าวยำเกาหลี ซุปสาหร่าย และกิมจิ พร้อมด้วยเครื่องดื่มอีก 2 ชนิด

การวิจัยถูกออกแบบเพื่อประเมินว่า เที่ยวบินสู่ดาวอังคารที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์นั้น มีความเป็นไปได้หรือไม่ และเพื่อแก้ปัญหาใหญ่ๆ อีกหลายปัญหา โดยจะเริ่มทดลองบบนพื้นโลกก่อน ซึ่งเบื้องต้นจะทดลองในระยะสั้นและจะเริ่มต้นในเดือน มี.ค.53 ซึ่งจะอาศัยอาสาสมัครทั้งหมด 6 คน ทดลองใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เลียนแบบภายในแคปซูลอวกาศนานเป็นเวลา 520 วันหรือประมาณปีกว่า

ภายในข้อตกลงครั้งนี้ ผู้มีอำนาจสั่งการของรัสเซียรับรองว่าอาหารและเครื่องดื่มของเกาหลีนั้นมี ความเหมาะสมที่จะเป็นเสบียงให้กับนักบินอวกาศอาสาสมัครเป็นเวลา 120 วัน จากนั้นนักวิทยาศาสตร์ จะบันทึกผลกระทบที่เกิดขึ้น กับระบบภูมิคุ้มกันของนักบินอวกาศผู้อาสาทำการทดลองจากอาหารที่กิน โดยการเดินทางเป็นรยะเวลาอันยาวนานจะส่งผลอันเลวร้ายต่อระบบภูมิคุ้มกันของ ร่างกาย

ด้านสถาบันวิจัยของเกาหลีเองกล่าวว่า การวิจัยอาหารเพื่อภารกิจอวกาศครั้งนี้ จะช่วยให้เกาหลีใต้เตรียมความพร้อมในปฏิบัติการส่งมนุษย์ไปดาวอังคารเองได้ บ้าง อีกทั้งงานวิจัยครั้งนี้ยังจะได้นำไปประยุกต์ในการผลิตอาหารสำเร็จรูปเพื่อ กองทัพทหารที่ต้องออกสนามรบ และเตรียมไว้ในเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ก่อนหน้านี้นักบินอวกาศคนแรกของเกาหลี ได้นำกิมจิอาหารประจำชาติขึ้นไปบนสถานีอวกาศนานาชาติเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่ผ่านมา โดยเดินทางไปกับจรวดของรัสเซีย และเมื่อเดือนที่ผ่านมาเกาหลีก็เพิ่งมีความร่วมมือกับรัสเซียในการยิงจรวด เพื่อส่งดาวเทียมจากพรมแดนตัวเองเป็นครั้งแรก แม้ว่าดาวเทียมจะไม่เข้าสู่วงโคจรก็ตาม

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

มายาหมายเลข 9 จับคูณยังไงก็ได้ 9 กลับคืน

หลายคนเอาฤกษ์เอาชัยวันที่ 09-09-09 เป็นวันดีในการเริ่มต้นชีวิต ด้วยสิ่งดีๆ และสำหรับโลกแห่งตัวเลขแล้ว 9 เป็นเลขอีกตัวที่มีมายาซ่อนอยู่

ยกตัวอย่างการคำนวณง่ายๆ ที่เด็กประถมให้คำตอบได้อย่างไม่ยากเย็น เช่น

การคูณเลข 9 กับเลขโดดใดๆ จะได้ผลคูณที่รวมกันแล้วได้เท่ากับ 9

ดังตัวอย่าง 9 x 3 = 27
และเมื่อนำ 2+7 = 9


หรือ

การคูณเลข 9 กับเลขสองหลักใดๆ จะได้ผลคูณ ที่นำตัวเลขโดดในผลดังกล่าวมารวมกันแล้วสุดท้ายได้เท่ากับ 9

ดังตัวอย่าง 9 x 62 = 558
เมื่อนำ 5+5+8= 18 และนำผลที่ได้ไปบวกต่อ 1+8 = 9

ส่วนวันที่ 9 ก.ย.นั้น เป็นวันในลำดับที่ 252 ของปี ซึ่งผลบวกของลำดับวันที่ดังกล่าว 2+5+2 เท่ากับ 9

ปัจจุบันนักโหราเลขศาสตร์ (numerologist) ผู้นำตัวเลขไปใช้ ในแนวทางที่ห่างไกลวิถีความเป็นวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า ความสำคัญและความตื่นเต้นในเชิงเวทย์มนต์นั้น ถูกกำหนดลงในตัวเลขตั้งแต่ 1-9

ผล และผลลัพธ์จากการรวมเลขโดด ที่แตกต่างกันจะให้ผลที่สัมผัสได้ในชีวิต โดยขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้

สำหรับเลข 9 ในทางโหราเลขศาสตร์นั้ นอยู่ในตำแหน่งพิเศษ เป็นตัวเลขที่มีความหมายเชื่อมโยงเรื่องการให้อภัย ความสัมพันธ์และความสำเร็จ ขณะเดียวก็มีความหมายในทางลบคือ ความเย่อหยิ่งและความยึดมั่นในความถูกต้องของตัวเอง

ด้านอริสโตซีนัส (Aristoxenus) นักประวัติศาสตร์เรื่องกรีกโบราณในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลได้เขียนบันทึกไว้ว่า ปีธากอรัส (Pythagoras) นักคณิตศาสตร์ในยุคกรีกนั้น หลงใหลในตัวเลข ทั้งในเชิงคณิตศาสตร์และในทางพยากรณ์ และยังได้บันทึกไว้ด้วยว่าเลข 9 เป็นเลขที่มีคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

ดาวเคราะห์โคจรกลับด้าน

นักวิทยาศาสตร์จากยุโรปพบดาวเคราะห์ประหลาดดวงหนึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ที่ อยู่ห่างออกไป 1,000 ปีแสง ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชื่อว่า วอสป์-17 (WASP-17) กำลังโคจรรอบดาวฤกษ์ในทิศทางสวนกับการหมุนรอบตัวเองของดาวฤกษ์

ดาวเคราะห์เกิดขึ้นจากก้อนแก๊สหมุนวนที่เป็นต้นกำเนิดดาวฤกษ์ ดังนั้นดาวเคราะห์จึงควรโคจรรอบดาวฤกษ์ในทิศทางเดียวกับการหมุนรอบตัวเองของ ดาวฤกษ์ เช่นเดียวกับระบบสุริยะของเราที่ดาวเคราะห์ทุกดวงล้วนโคจรรอบดวงอาทิตย์ใน ทิศทางเดียวกับการหมุนรอบตัวเองของดวงอาทิตย์

กรณีของวอสป์-17 นับเป็นดวงแรกที่พบว่ามีการโคจรแบบนี้ นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่าอาจเป็นผลจากการชนกับดาวเคราะห์ดวงอื่นเมื่อนานมา แล้ว

"ระบบสุริยะในช่วงเริ่มต้นเป็นดินแดนแห่งความรุนแรง" เดวิด แอนเดอร์สัน จากมหาวิทยาลัยคีลแห่งสหราชอาณาจักรกล่าว "เช่นดวงจันทร์ของเรา ก็เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากวัตถุขนาดเท่าดาวอังคารมาพุ่งชนโลกเมื่อนานมาแล้ว เศษเนื้อโลกจากการพุ่งชนที่กระจัดกระจายออกไปรอบโลกได้รวมตัวกันเป็นดวง จันทร์ เป็นไปได้ว่าระบบสุริยะที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้เคยมีดาวเคราะห์เข้าเฉียดกัน แรงดึงดูดได้คว้าเหวี่ยงกันเองจน วอส์ป-17 ถึงกับโคจรกลับทาง"

ความพิสดารของดาววอส์ป-17 ไม่ได้มีแค่เรื่องทิศทางการโคจรเท่านั้น ดาวเคราะห์ดวงนี้ยังมีขนาดใหญ่มาก แม้จะมีมวลเพียงครึ่งหนึ่งของดาวพฤหัสบดี แต่กลับมีขนาดใหญ่กว่าถึงเกือบสองเท่า นับเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยรู้จัก

นักดาราศาสตร์ได้สงสัยมานานแล้วว่าเหตุใดดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่น บางดวงจึงมีขนาดใหญ่โตมากนัก การค้นพบดาววอส์ป-17 นี้อาจช่วยตอบคำถามนี้ได้ การที่ดาวเคราะห์ถูกเหวี่ยงออกไปให้โคจรเป็นวงรีมากและมีทิศถอยหลัง ดาวจะต้องถูกแรงน้ำขึ้นลง (tidal force) จากดาวฤกษ์เค้นคลึงอย่างหนักจนทำให้เกิดความร้อนขึ้นมาก เป็นเหตุให้ดาวเคราะห์ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นแก๊สอยู่ในสภาวะเหมือนร้อนจนพอง ความจริงดาววอส์ป-17 นี้มีความหนาแน่นพอ ๆ กับโฟมโพลีสไทรีนเท่านั้น หรือเบาบางกว่าโลกเราถึง 70 เท่าเลยทีเดียว

วอส์ป-17 เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นดวงที่ 17 ที่ค้นพบโดยโครงการวอส์ป (WASP--Wide Area Search for Planets) ซึ่งเป็นโครงการร่วมระหว่างสหราชอาณาจักรกับหอดูดาวเจนีวาในสวิสเซอร์แลนด์ การตรวจหาดาวเคราะห์ของวอส์ปจะกระทำโดยใช้กล้องหลายกล้องเรียงเป็นตับแล้ว ถ่ายภาพดาวฤกษ์นับแสนดวง เพื่อตรวจหาการหรี่ลงของแสงดาวเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เกิดจากดาวเคราะห์โคจรผ่านหน้า
ที่มา:

* Huge planet orbits wrong way - astronomy.com

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

เปิดโลกใต้ทะเลด้วย กูเกิล เอิร์ท (6031)

กูเกิลเผยโฉมการอัพเกรดครั้งใหญ่ครั้งแรกของซอฟต์แวร์ แผนที่โลกกูเกิลเอิร์ท โดยเพิ่ม กูเกิลโอเชียน (Google Ocean) มาขยายแผนที่กูเกิลให้รวมถึงเนื้อที่กว้างใหญ่ของแผ่นพื้นทะเลและที่ราบอัน เต็มไปด้วยหุบเหวใต้ทะเลลึก

ผู้ใช้ซอฟต์แวร์สามารถดำลงไปดูใต้ผิวน้ำเพื่อสำรวจ ภูมิประเทศใต้น้ำแบบสามมิติ (3D) โดยที่กูเกิลโอเชียนจะประกอบด้วยข้อมูลที่มีความละเอียดถึง 20 ชั้นซึ่งรวบรวมจากนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และ นักสำรวจทะเลชั้นนำของโลก


ภาพ: ตัวอย่างแผนที่ใต้ท้องทะเลแบบสามมิติกูเกิลโอเชียน

ที่มา: news.bbc.co.uk/2/hi/technology/7865407.stm

นายอัล กอร์ ไปร่วมงานเปิดตัวกูเกิลโอเชียนครั้งนี้ที่ซาน ฟรานซิสโกด้วย ซึ่งทางกูเกิลหวังว่ากูเกิลโอเชียนจะช่วยยกระดับซอฟต์แวร์แผนที่อีกขั้น หนึ่งไปสู่การมีแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุมพื้นที่ของทั้งโลก โดย นายกอร์ กล่าวว่าการปรับปรุงแผนที่ครั้งนี้ทำให้การใช้กูเกิลเอิร์ทเป็น “ประสบการณ์อันน่าประทับใจ” และ “ไม่เพียงแต่เราสามารถจะซูมไปดูพื้นผิวแต่ละส่วนของโลกที่เราอยากดูอย่าง ละเอียด เรายังสามารถที่จะดำลงไปใต้มหาสมุทรซึ่งกินเนื้อที่ถึง 3ใน 4 ของโลกและค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ๆที่กูเกิลเอิร์ทรุ่นก่อนๆทำไม่ได้”

พื้นผิวของโลกประมาณ 70% นั้นปกคลุมด้วยน้ำและเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตมากกว่า 80% ในโลกนี้ แต่จริงๆแล้วมีการสำรวจพื้นน้ำนี้ไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ เป้าหมายของกูเกิลโอเชียนคือการช่วยให้ผู้ใช้เข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ใต้ท้องทะเลที่น่าสนใจ ซึ่งรวมถึง ภูเขาไฟใต้น้ำ (ผู้ใช้ยังสามารถดูภาพวิดีโอสดๆของชีวิตสัตว์ทะเลได้ด้วย) ซากเรืออัปปาง และ คลิปจุดเล่นเซิร์ฟและจุดดำน้ำที่เป็นนิยมต่างๆ

ลูกเล่นใหม่ครั้งนี้เกิดจากการร่วมมือพัฒนาอย่างใกล้ ชิดกับนางซิลเวีย เอิร์ล นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และทีมที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์และนักกิจกรรมในสาขาที่เกี่ยว กับทะเลมากกว่า 25 ท่าน

นางซิลเวีย เอิร์ล ซึ่งเป็นนักสำรวจของ National Geographic Society มองว่าลูกเล่นเพิ่มเติมนี้จะเติมชีวิตใหม่ให้กับโลกของเรา โดยกล่าวว่า “ไม่มีอะไรที่จะมีประสิทธิภาพในการสร้างความตระหนักและความรักต่อโลกสีฟ้า ของเรามากไปกว่าการเพิ่มมหาสมุทรลงไปในกูเกิลเอิร์ทเลย” และกล่าวเสริมว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกๆคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยหรือนักวิจัยที่จริงจังกับงาน สามารถมองเห็นโลกทั้งโลกได้จากมุมมองใหม่ๆ”

การอัพเดทกูเกิลเอิร์ทครั้งนี้ยังเพิ่มลูกเล่นด้าน พื้นดิน เช่น การติดตามด้วย GPS (Global Positioning System) การเดินทางข้ามเวลา (ที่ผู้ใช้สามารถเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่จากภาพถ่ายดาวเทียมจากใน อดีตถึงปัจจุบัน เช่น สเตเดียมที่แข่งเวิร์ลคัพ 2006 หรือทะเลสาบชาดในแอฟริกาที่กลายเป็นทะเลทรายไปทีละน้อย) และการจัดทัวร์บรรยายรูปภาพและเนื้อหาต่างๆที่อยู่บนกูเกิลเอิร์ท

นอกจากนี้ยังมีการอัพเดทดาวอังคารในรูปแบบสามมิติ ซึ่งหากผู้ใช้ดูโลกสีฟ้าจนเบื่อแล้ว ก็สามารถไปดูดาวอังคารสีแดงต่อไปได้

ที่มา :
Google Earth dives under the seas, http://news.bbc.co.uk/2/hi/technology/7865407.stm

อ่านต่อกด..จ๊ะ.