เรียนท่านผู้มีอุปการะคุณ ที่เข้ามาเยี่ยมชม สมองสองซีก ตอนนี้ทางทีมงานได้ย้ายไป link ใหม่ตาม นี้ขอรับ http://g-sciences.blogspot.com ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามขอรับ

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

15 ปีมีครั้งดาวเสาร์เข้าสู่ "อิควินอกซ์" เกือบไร้วงแหวน

ภาพดาวเสาร์ที่แคสซินีบันทึกไว้เมื่อวันที่ 12 ส.ค.52 หลังเกิดอิควินอกซ์ไม่นาน และเป็นภาพที่ยังไม่ผ่านการตกแต่ง (นาซา)


ยานอวกาศ "แคสซินี" จับภาพดาวเสาร์เข้าสู่ช่วง "อิควินอกซ์" นานทีมีครั้ง 15 ปีมีหน โดยนักวิทยาศาสตร์พบปรากฏการณ์ดังกล่าว ระหว่างศึกษาภาพถ่ายที่ยังไม่ผ่านกระบวนการดัดแปลงภาพ และได้พบปรากฏการณ์กลางวัน-กลางคืนยาวเท่ากัน

ทั้งนี้ อิควินอกซ์ (Equinox) คือช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านเส้นศูนย์สูตรของดาวเคราะห์นั้นๆ แล้วทำให้กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน ซึ่งล่าสุดบีบีซีนิวส์ระบุว่า ระหว่างที่นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาภาพถ่ายที่บันทึกโดยยานแคสซินี (Cassini) โดยเป็นภาพถ่ายที่ยังไม่ผ่านกระบวนการตกแต่งนั้น พวกเขาได้ค้นพบปรากฎการณ์ใหม่นี้ ในระบบวงแหวนของดาวก๊าซยักษ์

ระหว่างช่วงเวลาอิควินอกซ์ในครั้งนี้ ขอบวงแหวนของดาวเสาร์จะหันเข้าตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ และแทบไม่สะท้อนแสงอาทิตย์ออกมาเลย ซึ่งการที่เราได้เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ก็เพราะวงแหวนดังกล่าวตั้งอยู่ในมุม สะท้อนแสงกับดวงอาทิตย์

ขณะเดียวกันมุมของดวงอาทิตย์เหนือดาวเสาร์ก็ลดต่ำลง ทำให้เห็นวัตถุและโครงสร้างที่ไม่ไม่เคยสังเกตเห็นที่บริเวณวงแหวน จากเงาที่ฉายลงบนระนาบแบนอีกด้านของวงแหวนดาวเสาร์
ภาพดาวเสาร์ที่แคสซินีบันทึกไว้เมื่อวันที่ 12 ส.ค.52 หลังเกิดอิควินอกซ์ไม่นาน และเป็นภาพที่ยังไม่ผ่านการตกแต่ง (นาซา)



แต่ด้วยวงโคจรที่กว้างมากของดาวเสาร์ ทำให้กว่าจะเกิดอิควินอกส์บนดาววงแหวนแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานถึง 15 ปี

เราได้พบช่วงอิควินอกซ์บนดาวเสาร์เป็นครั้งแรกในปี 2533 และในครั้งนี้ได้พบอีกครั้ง จากภาพถ่ายของยานแคสซินีซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และยุโรป โดย ดร.คาโรลีน พอร์โก (Dr Carolyn Porco) หัวหน้าทีมภาพถ่ายของยานแคสซินีได้กล่าวว่า การพบช่วงอิควินอกซ์อีกครั้งบนดาวเสาร์ นับเป็นการรอคอยบันทึกภาพอันยาวนานที่ไม่ผิดหวัง
ภาพเกิดเงาจากดวงจันทร์ของดาวเสาร์ทาบบนวงแหวน ก่อนเกิดอิควินอกซ์ไม่นาน โดยเห็นเงาเป็นขีดตัดกับวงแหวนด้านบน (นาซา)

"แม้ การตรวจสอบอย่างคร่าวๆ ในปรากฏการณ์ที่เผยออกมาใหม่นี้ เราก็ได้รับสิ่งที่ไม่คาดหวังมาอย่างเต็มๆ จากนี้ไปอีก 1-2 อาทิตย์ ทีมภาพถ่ายจะจดจ้องมณีอันล้ำค่านี้ เพื่อดูว่ามีเรื่องประหลาดใจอื่นอีกหรือไม่ที่รอคอยพวกเราอยู่ และโดยปกติแล้ว เราจะประกาศในสิ่งที่พวกเราพบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้" ดร.พอร์โกกล่าว

ด้านเนชันนัลจีโอกราฟิกให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า วันอิควินอกซ์ของดาวเสาร์จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ยานแคสซินี ได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลบนดาวเสาร์ อย่างน้อยไปจนถึงวันสุดสิ้นภารกิจคือในเดือน ก.ย. 2553
ภาพเงาของดวงจันทร์ดาวเสาร์ที่ทาบบนวงแหวนอย่างชัดเจน ทางซ้ายมือ เห็นเป็นเงาดำปลายแหลมขีดผ่าน (นาซา)

อีกทั้งช่วงเวลาสั้นๆ ของอิควินอกซ์นี้ยังทำให้นักดาราศาสตร์ได้เห็นปรากฏการณ์ที่ยากจะได้เห็น อย่างเงาของดวงจันทร์ที่ทาบลงไปบนวงแหวน ที่จะเห็นได้เฉพาะช่วงก่อนและหลังปรากฏการณ์อิควินอกซ์เท่านั้น

สำหรับยานแคสซินีนั้น ได้ส่งขึ้นไปเมื่อเดือน ต.ค. 2540 จากฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ที่แหลมคานาเวอรัลในฟลอริดา และเดินทางไปถึงดาวเสาร์ในเดือน ก.ค.2547 แล้วเริ่มงานปฏิบัติการอันมีกำหนดยาวนาน 4 ปี เพื่อสำรวจดาวเคราะห์วงแหวนนี้พร้อมดวงจันทร์บริวาร ซึ่งตอนนี้ยานอวกาศยังคงทำงานได้ดี และได้ตั้งโปรแกรมใหม่สำหรับภารกิจใหม่ ขณะที่ภารกิจปัจจุบันได้ตอบบางคำถามที่เกิดขึ้นในช่วงต้นๆ ของการสำรวจ.
ข้อมูล ASTV

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สร้าง "ศิลาจารึกดิจิทัล" เก็บข้อมูลให้ได้ 1,000 ปี

ศิลาจารึก แม้เก็บข้อมูลได้ไม่มาก แต่มีความมั่นคงยาวนานกว่าอุปกรณ์บันทึกข้อมูลดิจิทัล (บีบีซีนิวส)


แม้ว่าเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน จะเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมาก แต่หากคิดถึงในระยะยาวแล้ว เราจะเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้นานแค่ไหน เพราะมีข้อจำกัดทั้งเรื่องเทคโนโลยีและความคงทน

เมื่อย้อนดู "ฟลอปปี้ดิสก์" อุปกรณ์เก็บข้อมูลที่เราเพิ่งใช้กันมาเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนี้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ อ่านแผ่นบันทึกข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้แล้ว หรือเรื่องความคงทนเมื่อเปรียบเทียบกับศิลาจารึก แม้จุข้อมูลได้น้อยกว่าแต่กินขาดเรื่องความคงทน คงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในการเก็บข้อมูลดิจิทัลให้ยาวนานได้ถึง 1,000 ปี

สำหรับความท้าทายที่ว่านี้บีบีซีนิวส์ระบุว่า กลุ่มนักวิจัยจากญี่ปุ่น อาจเป็นผู้เข้าถึงเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลดิจิทัลได้นานนับ 1,000 ปี ด้วยวิธีปิดผนึกอุปกรณ์ข้อมูลอย่างถาวร แต่มีวิธีอ่านง่ายๆ ที่จะทำได้ทั้งในปัจจุบัน และต่อเนื่องไปอีกเป็นศตวรรษ ซึ่งทีมวิจัยที่นำโดย ศ.ทาดาชิโร คุโรดะ (Tadahiro Kuroda) จากมหาวิทยาลัยเคโอ (Keio University) ในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตั้งใจจะบันทึกข้อมูลดิจิทัลลงชิปที่ผลิตจาก "ซิลิกอน" ซึ่งทีมวิจัยระบุว่าเป็นวัสดุเสถียรที่สุดในโลก
ส่วนหนึ่งของแผ่นศิลาจากรึกโรเซตตาดิจิทัล ซึ่งบันทึกข้อมูลลงแผ่นซิลิกอน (บีบีซีนิวส์)

อุปกรณ์เก็บข้อมูลของทีมวิจัยญี่ปุ่น ดูคล้ายแผ่นดิสก์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 นิ้ว ซึ่ง ศ.คุโรดะอ้างว่า การ ผนึกอย่างหนาแน่น แล้วอ่านข้อมูลและให้พลังงานอุปกรณ์ความจำด้วยสัญญาณไร้สายนั้น ทำให้เก็บข้อมูลต่อไปได้อีกนับพันปี และกู้ข้อมูลกลับได้ราวเก็บข้อมูลไว้บนศิลาจารึก ซึ่งอุปกรณ์นี้มีชื่อเลียนศิลาจารึกของอียิปต์ว่า "ศิลาจารึกโรเซตตาดิจิทัล" (Digital Rosetta Stone) โดยศิลาจารึกโรเชตตาของอียิปต์นั้นมีอายุกว่า 2,200 ปี และถูกขุดพบโดยกองทัพของนโปเลียน (Napoleon)

การพัฒนาวัสดุบันทึกข้อมูลดำเนินงานภายใต้โครงการห้องสมุดดิจิทัลโลก (The World Digital Library: WDLP) ซึ่งโครงการนี้ยังมุ่งหวังที่จะให้ทุกคนจากทั่วโลกสามารถเข้าถึงวัสดุที่มี ความสำคัญต่อวัฒนธรรมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งตามข้อมูลจาก ศ.คุโรดะ บีบีซีนิวส์ระบุว่า โครงการนี้จำเป็นต้องใช้วัสดุที่อยู่ได้นานอย่างน้อย 1,000 ปี เก็บข้อมูลได้มากกว่าระดับเทราไบต์ และเข้าถึงข้อมูลได้ตามเวลาจริง ซึ่งเขาเชื่อว่าระบบผนึกข้อมูลแบบถาวรของทีมนั้นจะตอบสนองความต้องการดัง กล่าวได้ แต่ยังอยู่ในขั้นทดลองและคาดว่าจะเริ่มใช้ได้จริงในอีก 10 ปีข้างหน้า

กระบวนการบันทึกข้อมูล ทำได้โดยสลักข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์บนแผ่นซิลิกอน ซึ่งเป็นวิธีบันทึกข้อมูลที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากล และเป็นวิธีที่ ศ.คุโรดะเชื่อว่าจะทำให้การเก็บข้อมูลนานนับศตวรรษนั้นเป็นได้จริง จากนั้นแผ่นเลเซอร์จะถูกนับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทำให้ได้แผ่นดิสก์ที่สูง 14 นิ้ว จากนั้นปิดผนึกอย่างแน่นหน้าเพื่อป้องกันออกซิเจนและความชื้น ซึ่งทั้งสองปัจจัยยังเป็นปัญหาที่จะทำให้ไม่สามารถแผ่นซีดีและดีวีดีที่เก็บ ไว้ในอีก 30-100 ปี

ตามข้อมูลของสมาคมเทคโนโลยีบันทึกข้อมูลแสง (Optical Storage Technology Association: OSTA) ซึ่งใช้เวลาทดสอบแผ่นซีดีและดีวีดี พบว่าแผ่นซีดีเก็บข้อมูลได้ประมาณ 15 ปี ขณะที่แผ่นดีวีดีมีอายุสั้นกว่า คือเก็บข้อมูลได้เพียง 10 ปี ซึ่ง ศ.คุโรดะกล่าวว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก เมื่อถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเราสามารถเก็บหนังสือได้หลายร้อยปี
ต้นแบบของชิปทดสอบในศิลาจารึกโรเซตตาดิจิตอล (Nikkei Business Publications)

ส่วนอุปกรณ์ที่บันทึกข้อมูลด้วยแม่เหล็กซึ่งพบมากในเครื่อง คอมพิวเตอร์พีซีนั้น จะสูญเสียข้อมูลภายใน 4-40 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสนามแม่เหล็ก แต่สำหรับอุปกรณ์กึ่งตัวนำหรือเซมิคอนดัคเตอร์อย่างซิลิกอนนั้น เก็บข้อมูลได้เป็นพันปี หากรักษาความชื้นรอบๆ ชิปซิลิกอนไว้ที่ 2% หรือต่ำกว่า

ทั้งนี้ มีหลายฝ่ายที่พยายามหาวิธีเก็บข้อมูลดิจิตอลให้นานขึ้น เพื่อว่าลูกหลานในอนาคตจะไม่มองกลับมาเห็นแต่ความมืดมิดของ "ยุคดิจิทัล" โดยสมาคมเครือข่ายอุตสาหกรรมบันทึกข้อมูล (Storage Networking Industry Association: SNIA) ของสหรัฐฯ ก็เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่พยายามสร้างอุปกรณ์บันทึกข้อมูลดิจิทัลให้อยู่ได้ นาน 100 ปี แต่ก็ยังไม่มีใครเป็นแนวหน้าของความพยายามดังกล่าว และนักเทคโนโลยีชั้นนำของสมาคมนี้ก็รู้สึกประทับใจอย่างยิ่งต่อ "ศิลาจารึกโรเซตตาดิจิตอล"
แบบ จำลองของศิลาจารึกโรเซตตาดิจิทัล ซึ่งแผ่นอ่านข้อมูลจะวางไว้ด้านบน อาศัยการเหนียวนำเพื่ออ่านข้อมูลโดยไม่ต้องสัมผัสกัน ส่วนภายในอุปกรณ์บันทึกข้อมูลเรียงเป็นชั้นๆ และถูกปิดผนึกป้องกันออกซิเจนและความชื้นด้วย ซิลิกอนไดออกไซด์และซิลิกอนไนไตรด์ (Nikkei Business Publications)


อย่างไรก็ดี เรายังอยู่บนเส้นทางที่แสนยาวไกล ในการเอาชนะอำนาจความคงทนในการบันทึกข้อมูลของแผ่นศิลา หรือแม้แต่แผ่นกระดาษ แต่การวิจัยเพื่ออายุที่ยาวนานของศิลาจารึกดิจิทัลและยังสามารถอ่านข้อมูล เหล่านั้นได้ เป็นสิ่งที่ต้องเดินหน้าต่อไป

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตะลึง! ฟอสซิลหนอนยักษ์ยาวร่วมเมตร เก่าแก่ที่สุดถึง 475 ล้านปี

นัก บรรพชีวินวิทยาสเปนขณะกำลังสำรวจร่องรอยที่เป็นฟอสซิลของหนอนทะเลยักษ์ ที่นักวิจัยค้นพบอยู่ภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติคาบาเนรอส ตอนกลางของประเทศสเปน (เอเอฟพี/CSIC)




สเปนพบฟอสซิลหนอนทะเลยักษ์ อายุ 475 ล้านปี ยาวถึง 1 เมตร เก่าแก่สุดเท่าที่เคยพบ นักวิจัยเผยเพราะอาศัยอยู่ในทะเลที่น้ำเย็นจัด เลยทำให้ตัวใหญ่

สภาวิจัยแห่งชาติสเปน (Spanish National Research Council: CSIC) เปิดเผยการค้นพบฟอสซิลหนอนทะเลยักษ์ ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกในประเทศสเปน เมื่อวันที่ 3 ส.ค.52 ที่ผ่านมา ซึ่งมีอายุมากถึง 475 ล้านปี และมีขนาดลำตัวยาวถึง 1 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำตัวประมาณ 15 เซนติเมตร

ทีมนักบรรพชีวินวิทยาสเปน พบฟอสซิลหนอนทะเลยักษ์ดังกล่าวภายในบริเวณอุทยานแห่งชาติคาบาเนรอส (Cabaneros National Park) ประเทศสเปน ซึ่งบริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ก้นทะเลในยุคออร์โดวิเชียนตอนต้น (Lower Ordovician period) ฟอสซิลหนอนทะเลดังกล่าวพบฝังตัวอยู่ในหินราบเรียบที่เป็นแนวยาวประมาณ 5 เมตร
ร่อง รอยฟอสซิลของหนอนทะเลยักษ์ที่พบอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติของประเทศสเปน ซึ่งบริเวณนี้เมื่อประมาณ 475 ล้านปีที่แล้วเคยเป็นแผ่นดินใต้ทะเลมาก่อน (เอเอฟพี/CSIC)

ฮวน คาร์ลอส กูเตียร์เรซ มาร์โค (Juan Carlos Gutierrez Marco) นักบรรพชีวินวิทยาผู้ศึกษาฟอสซิลหนอนทะเลยักษ์ เปิดเผยว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นรอยคล้ายน้ำเมือกที่ถูกหลั่งออกมาและทำให้บริเวณ นั้นแข็งตัวและไม่พังทลายลง ทำให้รักษาสภาพไว้รักษาสภาพฟอสซิลไว้ได้ง

"นี่เป็นร่องรอยของหนอนยักษ์ที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุด ตั้งแต่ที่เคยมีการค้นพบมา ซึ่งฟอสซิลหนอนยักษ์ที่พบก่อนหน้านี้ครั้งล่าสุด พบในปีนี้ที่แคว้นเดวอน (Devon) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ และคำนวณอายุได้ 200 ล้านปี" กูเตียร์เรซ มาร์โค เผย พร้อมอธิบายด้วยว่าทำไมหนอนทะเลยักษ์ดึกดำบรรพ์นี้จึงมีขนาดใหญ่โตนัก
ฟอสซิ ลของหนอนทะเลยักษ์ที่มีลำตัวยาวถึง 1 เมตร และเคยมีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อ 475 ล้านปีที่แล้ว ในช่วงยุคออร์โดวิเชียนตอนต้น (เอเอฟพี/CSIC)

"ช่วงเวลาเมื่อกว่า 450 ล้านปีก่อน ประเทศของเราเป็นส่วนหนึ่งของพื้นผิวใต้ทะเลของแผ่นดินทวีปในสมัยดึกดำบรรพ์ ที่ยังติดกันเป็นผืนเดียวกัน ที่เรียกว่า กอนด์วานา (Gondwana) คาบ สมุทรไอบีเรีย (Iberian Peninsula) (ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ซึ่งก็คือประเทศสเปนในปัจจุบัน) เป็นดั่งขั้วโลกใต้ในยุคสมัยนั้น สิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำที่เย็นจัด จะมีระบบเมตาบอลิซึม (metabolism) ที่ทำให้ร่างกายของพวกมันมีขนาดใหญ่กว่าโดยทั่วไป หรือที่เรียกันว่า โพลาร์ ไจแกนทิซึม (polar gigantism)" กูเตียร์เรซ มาร์โค อธิบาย

ขอบคุณ ASTV

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลายพาดกลอนบนดวงจันทร์เอนเซลาดัส

ดวงจันทร์เอนเซลาดัส

ยานแคสซีนีของนาซาได้เฉียดเข้าใกล้ดวงจันทร์เอนเซลาดัสด้วยระยะห่าง 175 กิโลเมตรจากพื้นผิว และได้ถ่ายภาพจำนวนหนึ่งไว้ นักดาราศาสตร์พบสิ่งน่าสนใจเป็นพิเศษในภาพจากแคสซีนีในครั้งนี้ เพราะพบรอยแตกหลายรอย ยาวประมาณ 130 กิโลเมตร ห่างกันราว 40 กิโลเมตร และเป็นแนวเกือบขนานกัน ต่อมานักดาราศาสตร์เรียกรอยเหล่านี้ว่า "ลายพาดกลอน"

การค้นพบครั้งนี้สนับสนุนผลการสำรวจก่อนหน้านี้ที่พบว่าขั้วใต้ของดวง จันทร์ดวงนี้ยังคงคึกคักไปด้วยกัมมันตภาพหลายอย่าง จากการสำรวจโดยกล้องโทรทรรศน์ภาคพื้นดินก่อนหน้านี้พบว่าดวงจันทร์เอนเซลา ดัสสว่างวาบขึ้นมากว่าปรกติในช่วงที่หันขั้วใต้มาทางโลก
ดวงจันทร์เอนเซลาดัสของดาวเสาร์ ถ่ายภาพโดยยานแคสซีนีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ภาพขาวดำทางซ้ายมองเห็นพวยขนาดใหญ่ใกล้ขั้วใต้ของเอนเซลาดัส ส่วนภาพแปลงสีทางขวาแสดงพวยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก (ภาพจาก NASA/JPL/Space Science Institute)

รอยแตกนี้ทำหน้าที่เหมือนรูระบายสิ่งต่าง ๆ จากภายในดาวออกมา ซึ่งได้แก่ไอน้ำและละอองของผลึกน้ำแข็ง เมื่อน้ำแข็งพุ่งออกจากรอยแตกนั้น ละอองน้ำแข็งนั้นจะตกผลึกเป็นน้ำแข็งใหม่ เมื่อผลึกถูกรังสีเป็นระยะเวลาหนึ่ง โครงสร้างผลึกก็จะค่อยสึกกร่อนไป การศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผลึกจะทำให้ทราบระยะเวลาของกระบวนการกัด กร่อนและทำให้ทราบอายุของลายพาดกลอนนี้ได้ด้วย นักดาราศาสตร์พบว่ากระบวนการกัดกร่อนนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี และการที่ปัจจุบันยังพบน้ำแข็งทั้งที่เป็นผลึกใหม่และผลึกเก่าดวงจันทร์ดวง นี้ แสดงว่ารอยแตกนี้ยังมีอายุน้อยอยู่มาก
นักดาราศาสตร์เชื่อว่าใต้พื้นผิวน้ำแข็งของเอนเซลาดัสมีเป็นแหล่งน้ำที่อยู่ ในรูปของเหลวอยู่ โดยได้รับความร้อนจากหินร้อนด้านล่าง เมื่อความดันน้ำมากขึ้น น้ำจะแทรกผ่านช่องระบายขึ้นสู่พื้นผิวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นไอน้ำและละออง น้ำแข็ง (ภาพจาก NASA/JPL/Space Science Institute)

นั่นหมายความว่าดวงจันทร์เอนเซลาดัสยังเป็นดวงจันทร์ที่คุกรุ่นไปด้วย กัมมันตภาพ (activity) และมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาอย่างคึกคัก แต่สิ่งนี้เป็นปริศนาชวนคิดอยู่ไม่น้อย เพราะการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยามีความร้อนเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ แต่ดวงจันทร์เอนเซลาดัสมีขนาดเล็กมากเพียง 500 กิโลเมตรเท่านั้น วัตถุที่เล็กขนาดนี้น่าจะเย็นและพ้นช่วงกัมมันต์ไปนานแล้ว แล้วเหตุใดดวงจันทร์ดวงนี้ยังคงรักษาความร้อนอยู่ได้ นั่นเป็นคำถามที่รอให้ขบคิดกันต่อไป

เอนเซลาดัสเป็นหนึ่งในดวงจันทร์เพียงไม่กี่ดวงในระบบสุริยะที่เป็นดวง จันทร์ที่มีกัมมันตภาพมาก ตัวอย่างดวงอี่นได้แก่ ดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์ไทรทันของดาวเนปจูน

ข้อมูล สมาคมดาราศาสตร์ไทย

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทปกาวปล่อยรังสีเอกซ์ !!

สก็อตเทปปล่อยลำแสงและรังสีเอกซ์เมื่อถูกแกะออกจากม้วนภายในสุญญากาศ (ภาพเนเจอร์/Carlos Camara, Juan Escobar)




นักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ แกะสก็อตเทปในสุญญากาศ ได้รังสีเอกซ์ปริมาณมหาศาล และมีความแรงมากพอ ที่จะบันทึกภาพถ่ายเอกซ์เรย์ได้ โดยทีมวิจัยได้ทดสอบกับนิ้วมือของตัวเอง แต่ปรากฏการณ์นี้ เคยพบมาก่อนแล้ว ทั้ง "ฟรานซิส เบคอน" และ นักวิทยาศาสตร์รัสเซียเมื่อ 50 ปีก่อน

"เราแปลกใจกันมาก จากแค่เทปใสธรรมดา เราได้กำลังรังสีปริมาณมากขนาดนี้" เอพีระบุคำพูดของ ฮวน เอสโคบาร์ (Juan Escobar) นักศึกษามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในลอสแองเจลิส (University of California, Los Angeles) หรือยูซีแอลเอ (UCLA) ซึ่งรวมในการศึกษาครั้งนี้

ทั้งนี้ เซธ พัทเทอร์แมน (Seth Putterman) พร้อมคณะจากยูซีแอลเอ ได้ใช้เครื่องยนต์เพื่อคลายม้วนสก็อตเทป และบันทึกการปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยข้อมูลจากนิวไซแอนทิสต์ระบุว่า ทีมวิจัยดึงเทปออกจากม้วนด้วยอัตราเร็ว 3 เซนติเมตรต่อวินาที ทำให้เกิดรังสีเอกซ์ 15 กิโลอิเล็กตรอนโวลต์ (KeV) และทุกๆ หนึ่งในพันล้านวินาทีจะมีปริมาณโฟตอนออกมา 1 ล้านตัว

ความแรงของรังสีเอกซ์ระดับนี้ เป็นประโยชน์ที่จะใช้เป็นแหล่งกำเนิดในการถ่ายภาพรังสีเอกซ์ ซึ่งในการทดลองนี้ ทีมวิจัยได้ใส่หน้าต่างพลาสติกในช่องสุญญากาศ แล้วสามารถบันทึกภาพรังสีเอกซ์ของนิ้วมือได้ โดยใช้เครื่องตรวจจับรังสีเอกซ์ที่ใช้ในงานทันตกรรม ซึ่งผลจาการศึกษาดังกล่าวได้ตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์ (Nature)

"พลังงานของรังสีเอกซ์นี้ ทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันได้ หากใช้โมเลกุลแทนอิเล็กตรอน แต่มันก็เป็นเรื่องทางวิศวกรรม ไม่ใช่เรื่องทางฟิสิกส์" พัทเทอร์แมนกล่าวถึงความคิดไปไกล
ภาพ ถ่ายนิ้วมือของทีมวิจัยด้วยรังสีเอกซ์ที่ได้จากเทปกาว โดยม้วนสก็อตเทปที่ใช้ทดลองวางอยุ่ในอุปกรณ์สุญญากาศด้านล่างของมือ (ภาพเนเจอร์/Carlos Camara, Juan Escobar, Seth Putterman)

ด้านเนเจอร์ระบุว่า พลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้น คือการเรืองแสงแบบที่รู้จักกันว่า "ไทรโบลูมิเนสเซนส์" (triboluminescence) ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของแสง ที่จะเกิดขึ้นเมื่อของแข็งโดยเฉพาะของแข็งประเภทผลึก ถูกกด ขูด หรือขัด โดยคำอธิบายที่ได้การยอมรับคือ เมื่อผลึกถูกขัดหรือแยกออก กระบวนการที่เกิดขึ้นก็จะแยกประจุตรงกันข้ามออกจากกันด้วย และเมื่อประจุกลับมารวมกันกลายเป็นกลาง จะปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสง

ปรากฏการณ์ ลักษณะนี้ ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) จิตกรชาวอังกฤษเคยสังเกตเห็นเมื่อปี 2148 โดยเขาสังเกตว่า ก้อนน้ำตาลที่ขัดสีกันนั้นได้ปล่อยแสงออกมา

ส่วนปรากฏการณ์เรืองแสงของสก็อตเทปนั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ในรัสเซียเคยสังเกตพบเมื่อปี 2496 ว่าเทปที่ติดอยู่บนแก้วนั้นปลดปล่อยรังสีเอกซ์ได้ แต่ทีมวิจัยของยูซีแอลเอยังคงเคลือบแคลงต่อผลการทดลองดังกล่าว จึงตัดสินใจศึกษาปรากฏการณ์ดังกล่าว
ภาพถ่ายนิ้วมือของทีมวิจัยด้วยรังสีเอกซ์ที่ได้จากเทปกาว (ภาพเอพี/Carlos Camara, Juan Escobar, Seth Putterman)

อย่างไรก็ดีตามรายงานของนิวไซแอนทิสต์ พัทเทอร์แมนยังไม่แน่ใจว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นยังคงเป็นปริศนา แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีกว่า เมื่อเกิดการขัดสีของพื้นผิว 2 อันจะทำให้เกิดประจุบวกและประจุลบ

สำหรับในกรณีนี้เทปกาวจะมีประจุบวก ส่วนแกนพลาสติกจะเป็นประจุลบ ทำให้เกิดความต่างประจุขึ้นจนกระทั่งอิเล็กตรอนกระโดดจากเทปกาวที่ถูกดึงออก ไปยังแถบเทปกาวที่ม้วนอยู่ ซึ่งทำให้เกิดพลังงานมากพอที่จะผลิตรังสีเอกซ์ เมื่ออิเล็กตรอนกระทบกับเทปกาว
ภาพการ ทดลองแกะเทปใสในอุปกรณ์สุญญากาศ ซึ่งใช้อุปกรณ์ตรวจจับรังสีเอกซ์สำหรับงานทันตกรรม ตรวจวัดรังสีเอกซ์ที่เกิดขึ้น (ภาพเอพี/Carlos Camara, Juan Escobar, Seth Putterman)

"ใน อีกมุมหนึ่งเราก็ค่อนข้างกลัวนะ แต่เราก็คิดได้ว่าสก็อตเทปจะปล่อยรังสีเอกซ์ออกมาได้ก็เมื่อใช้ในสภาพ สุญญากาศ เราไม่ต้องการสร้างความตระหนกให้กับผู้คนจากการใช้สก็อตเทปในชีวิตประจำวัน" เอสโคบาร์กล่าว
ชมการทดสอบดูนะจ๊ะ


Thank ASTV good!!!

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อีกทฤษฎี ของวันสิ้นโลก 2012

กระแสตอนนี้คงจะไม่กล่าว ไม่ได้ว่าปี 2012 จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกกลมๆ ของเรา ๆชาว Gangof4wd เคยตั้งคำถามกันเองว่าทำไม ต้องมีพวกเรา และไม่มีได้ไหม ทำไมต้องมีตัวเรา ทำไมต้องมีโลก และดาวดวงอื่นๆ และหลากหลายทำไมที่พวกเรา อยากทราบคำตอบ และกระแสหนึ่งก็คือมีดาวดวงที่ 12 ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา ชื่อเจ้า นิบิรุ(NIBIRU) มันใช่ว่าเพิ่งจะเจอกันนะแต่ มีนักดาราศาตร์ค้นพบมันมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1982 และที่สำคัญมันอยู่ในแระบบวง โคจรเดียวกับโลก ก็คือวิ่งทับทางกันเหมือนรถเมล์ ในกรุงเทพฯเพราะฉะนั้น โอกาศที่มันจะพุ่งเข้าหาเรา ชนเราก็มี แต่แค่เฉียดๆ ก็อาจจะเกิดภัยพิบัติทาง ธรรมชาติอย่างมหาศาล แต่" อย่าเพิ่มเชื่อ โปรดใชิวิจารญาณ ในการไตร่ตรองกันนะครับ" ที่นี้เรามาดูรายละเอียดของเจ้าเด็กเกเรกันดีกว่า

อ้างถึง อาจารย์ สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ซึ่งเคยทำงานอยู่ที่องค์การ นาซ่า NASA ประเทศอเมริกา บอกว่า เขารู้มานานแล้ว และปัจจุบันนี้ NASA เขาสร้าง ยานอวกาศ เพื่ออพยพผู้คนจากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 และยังมีเรื่อง ไสยาศาสตร์ มาผสมอีกว่า หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) ว่า หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก “จะเกิดน้ำท่วมใหญ่” มันก็เหลือเวลาอีกเพียง 2 ปีกว่าๆ เท่านั้นเอง....เราจะตายกันหมดจริงๆ หรือ.!!??

ด้วยความสงสัยของผมว่าทำไม 2012 จะมีข่าวลือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกมากมายเหลือเกิน
บางแหล่งก็อ้างน้ำท่วมจาเหตุโลกร้อน บางแหล่งก็อ้าง ไบเบิ้ล เพราะพระเจ้ากำหนดมา

แต่มีสิ่งที่หนึ่งที่มีทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์พร้อมเกี่ยวปรากฎการณ์ที่อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้
และถ้าเกิดขึ้นก็จบ... ไม่เหมือนกับ LHC ที่กลัวโอกาสว่าจะเกิดหรือเปล่าเท่านั้น

เรื่องนี้คือเรื่อง ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของ ระบบสุริยะจักรวาล ถ้าใครได้พอดูข่าวความเมื่อปี 2002 จะได้ทราบว่า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ ดาวดวงที่ 12 ขึ้นมาอยู่ในระบบ กาแล็คซี่เราดื้อๆ แต่ความเป็นจริงนักดาราศาสตร์รู้จักดาวนี้มา ตั้งแต่ปี 1982 แล้วซึ่งเป็นข่าวใหญ่โตมากช่วงเดือน พฤษภาคม เพราะผมก็ได้ดูเหมือนกัน มันคือดาวที่มีชื่อตั้งทางวิทยาศาสตร์ว่า นิบิรุ (Nibiru)


และด้วยหลักฐานโบราณวัตถุและนักโบราณคดีได้กล่าวไว้เนืองๆ ว่า...สิ่งของที่ไม่สามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้เกิดจากดาวดวงนี้ แต่สิ่งที่เรารับรู้คือเจอดาวเคราะห์ดวงใหม่ แล้วก็จบ...

ทำไมถึงกล่าวอ้างเช่นนั้น?
สิ่งที่เราไม่รู้มันคือสิ่งนี้ครับ....

ดาวดวงนี้.... (นิบิรุ (Nibiru) ทุนเดิมไม่ได้อยู่ในระบบ กาแล็คซี่ ทางช้างเผือกมาแต่เนิ่นๆ อยู่แล้วแต่... มีวงโคจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก จนมาทับซ้อนลงบนกาแล็คซี่นี้

แปลว่า... ที่นักวิทยาศาสตร์เห็นเพราะมันเพิ่มขึ้นโคจรเข้ามาใกล้กาแล็คซี่เรา..!

เรื่องนี้..ถูกครึ่งเดียวครับ ! ความจริงมันเข้ามา ทับวงโคจรทั้งแถบเลย





(ลักษณะทางกายภาพที่เป็นไปได้ของดาวนิบิรุครับ)




อันนี้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการถ่ายซูมทำให้รู้ได้ว่า ดาวนี้เป็น
ดาวฤกษ์ครับและทับเข้ามาแค่ไหน


เส้นทางการเดินทางของวงโคจรดาว นิบิรุ เข้ามาทับเส้นเดียวกับโลก

ซึ่งมันมีสิทธิ์มากๆ ที่จะ ..ชนโลกเราอย่างแน่นอน!!!



รูปนี้คือเส้นวงโคจรของดาวนิบิรุครับ

มันเข้าใกล้มาจริง ๆๆ

เส้นทางวงโคจร ทำให้เรารู้ได้ว่าทางเราส่องดาวบริเวณทิศใต้สุดของดาวโลก เราจะเห็น

แต่ปัจจุบันนี้ ปีนี้สามารถเห็นได้ด้วยเปล่าแล้ว..!!



(เส้นขาวๆ คือลูกศรชี้ตำแหน่งดาวนิบิรุครับ)

สำหรับคนที่อยากเห็น...ไปออสเตรเลียหรือประเทศอะไรที่อยู่ทางใต้ของโลก แนะนำให้ลองใช้โปรแกรม googleSky ดู ท่านจะเห็นเป็นวงแดงๆ อยู่วงเดียวทั้งท้องฟ้า

นั่นหละครับ นิบิรุ... แล้วทำไม? มันเกี่ยวอะไรกับโบราณสถานและวัตถุในอดีต ...



นักโบราณฯ สันนิษฐานว่า นิบิรุ เคย โคจรเข้ามาใกล้ทีหนึ่งแล้วในเมื่อ หลายแสนปีก่อน แต่มารอบนี้.... มาเทียบและทาบวงโคจรของโลกเลย คาดว่า ดาวนิบิรุ มีโอกาสที่จะชนกันกับโลกสูง หรือแม้เฉียดกันก็เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงแล้ว

เพราะแกนของดาวทุกดวงมีสนามแม่เหล็กอยู่ อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวน เกิดภัยพิบัติธรรมชาติ เกิดภาวะน้ำขึ้นกระทันหัน เกิดพายุต่างๆ นา

และเค้าคาดการณ์ไว้แล้วว่า ปี 2012 เราสามารถจะเห็น ดาวนิบิรุ ใหญ่ขนาดดวงอาทิตย์ได้เลย เพราะมันเข้าใกล้เรามากแล้ว

ข้อมูลอาจจะยังไม่แน่นพอ เพราะ NASA ปิดข่าว แต่นักดาราศาสตร์ออกมาอธิบายเรื่องทฤษฎีความเป็นไปได้กันอย่างจ้าละหวั่นแล้ว

ข้อมูลที่ยังขัดแย้งกันอยู่คือ บางแหล่งบอกว่าไม่แน่ใจว่าเป็น ดาวฤกษ์ และ อุกกาบาต

เพราะขนาดของมันใหญ่กว่าดาวพฤหัส 2 เท่า!!! ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในระบบนี้

งานนี้ก็ถึงเวลาที่ธรรมชาติเลือกเรา....!!?? ของแท้แล้วละนะครับ



อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Pompeii : เมืองที่ถูกภูเขาไฟถล่มทั้งเป็น (1)

แผนที่แสดงตำแหน่งของ Pompeii, Herculaneum และ Naples

การคำรามของภูเขาไฟ Visuvius ซึ่งสูง 1,280 เมตร เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 622 เวลาบ่ายโมงไม่ได้ทำให้ชาวเมือง Pompeii คนใดตระหนกตกใจ เพราะภูเขาไฟลูกนี้ได้สงบนิ่งมาเป็นเวลานานจนไม่มีใครจำได้ว่ามันระเบิด ครั้งสุดท้ายเมื่อใด ดังนั้น เมื่อถึงเวลาค่ำของคืนวันนั้น การระเบิดที่รุนแรงและฉับพลันจึงทำให้ผู้คนกว่า 20,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเมือง Pompeii และ Herculaneum ถูกเถ้าภูเขาไฟและลาวาถล่มทับจนมิดทั้งเมืองภายในเวลาเพียงวันเดียว Pliny ผู้อาวุโส เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกควันภูเขาไฟอุดจมูกจนขาดใจตาย

ส่วนหนุ่ม Pliny ก็ได้เล่าว่า ขณะภูเขาไฟระเบิด ควันภูเขาไฟได้ลอยขึ้นสูง แล้วกระจายออกตามแนวราบ จากนั้นลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็พัดนำเขม่า ฝุ่น และก้อนหินมาตกบนหลังคาบ้าน จนอาคารพังพินาศทำให้ผู้อาศัยถูกอบด้วยควันร้อน ลาวาเดือดที่มีอุณหภูมิสูงถึง 400 องศาเซลเชียส ได้เผาคนจนตัวเกรียม บ้างก็ได้พยายามหนีตายโดยการวิ่งไปที่ชายทะเลเพื่อลงเรือหนี แต่ไม่เป็นผล เพราะเถ้าลาวาได้ไหลทันคนเหล่านั้น จนศพถูกหุ้มด้วยลาวาเหลวและกลายสภาพเป็นศพหินให้เห็นกันจนทุกวันนี้
ภาพวาดแสดงการระเบิดของ Visuvius เมื่อ พ.ศ. 623 โดย Joseph Wright

การถูกฝังด้วยลาวาที่หนา 25 เมตร ทำให้เมือง Pompeii และ Herculaneum ถูกโลกลืมอย่างสนิท จนกระทั่งปี 2291 เมื่อวิศวกรท่อระบายน้ำ ได้พบซากบ้านโบราณฝังอยู่เบื้องล่าง และการวิเคราะห์ในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า นั่นคือซากเมือง Pompeii ที่โลกเคยรู้จักเมื่อ 1,670 ปีก่อน

ถึงเวลาจะผ่านไปนานร่วม 260 ปี นับจากวันที่ได้มีการขุดพบซากเมือง Pompeii ก็ตาม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา การขุดและวิเคราะห์หลักฐานอย่างละเอียดก็ยังทำให้ชาวโลกทุกคนตื่นเต้น เพราะข้อมูลที่ได้ทำให้เราวันนี้รู้วิถีชีวิตของชาว Pompeii เมื่อ 2,000 ปีก่อนดีขึ้นเรื่อยๆ ว่า ในสมัยนั้นเมืองนี้เป็นเมืองขนาดกลางที่มีประชากรประมาณ 20,000 คน แม้เมืองจะไม่ได้เป็นที่ประทับของเจ้าชายใดๆ แต่พ่อตาของจักรพรรดิ Julius Caesar ก็มีวิลลาตากอากาศอยู่ที่นี่ และในสมัยนั้น Pompeii เป็นสถานที่จิตรกร ศิลปิน เศรษฐี และทาสนิยมมาพำนักอาศัยเพราะทาสต้องการงานเพื่อจะได้มีเงินไปใช้ ไถ่ตนให้เป็นไท แม้แต่กลาเดียเตอร์ชื่อ Spartacus ก็เคยมาเที่ยวพำนักที่ Pompeii ก่อนเดินทางเข้าโรม
ซากสุนัขที่กลายเป็นหิน ซึ่งแสดงความพยายามจะหนีลาวาร้อน

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า สาเหตุที่ทำให้โลกได้มีโอกาสเห็น Pompeii อีก ครั้งหนึ่ง เพราะในช่วงเวลา 100 ปีแรกที่มีการขุดนักโบราณคดีได้เห็นโรงละครของเมืองและได้พบวัตถุประวัติ ศาสตร์มากมาย รัฐบาลอิตาลีจึงอนุญาตให้ Guiseppe Fiorelli ขุดดินที่ทับถม ประมาณ 600,000 ลูกบาศก์เมตรออก ในปี 2403 การศึกษาโบราณวัตถุที่ขุดได้ ทำให้เรารู้ว่า เมื่อ 800-900 ปีก่อนคริสตกาล เมือง Naples และ Salerno ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ Pompeii เคยเป็นเมืองท่าสำคัญ จึงถูกชาวกรีกและชาวอิตาเลียนผลัดกันยึดครอง แต่เมื่อ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทั้ง Naples และ Pompeii ได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ด้วยเหตุนี้ ตัวเมืองจึงมีศิลปวัตถุสไตล์กรีกตามอาคารสาธารณะ อนุสาวรีย์ โรงละคร อัฒจันทร์ ที่อาบน้ำสาธารณะ ฯลฯ ให้ชาวบ้านที่เดินทางมาขายสินค้าได้พักผ่อน โดยเมืองมีจุดศูนย์กลางของกิจกรรมที่จัตุรัสกลางเมือง และชาวเมืองมีเทพเจ้าประจำเมือง คือ Jove, Juno, Minerva กับ Venus
ซากชาว Pompeii ที่นอนตาย และถูกลาวาจับแข็งแสดงความรู้สึกถูกทารุณครั้งสุดท้าย

แม้โรงละครที่หันหน้าสู่แม่น้ำ Sarno จะไม่ยิ่งใหญ่เท่า Colleseum ในโรม แต่ก็สวย เพราะมีที่กำบังแดด และสามารถบรรจุคนได้มากถึง 2,000 คน ที่นี่จึงใช้สำหรับการชมดูการต่อสู้ของ gladiator ด้วย ทั้งนี้เพราะชาวเมืองชอบดูกีฬานองเลือดชนิดนี้มาก นอกจากนี้เมืองก็มีสนามกรีฑาและสระว่ายน้ำให้บรรดาชายฉกรรจ์แสดงฝีเท้า และฝีมือ รวมทั้งพละกำลังในการเล่นมวยปล้ำ และว่ายน้ำด้วย ถึงกีฬาเหล่านี้เป็นกีฬากรีกยิ่งกว่ากีฬาโรมัน แต่ Pompeii ก็สามารถผสมผสานสองอารยธรรมได้อย่างลงตัว เช่น มีกีฬาให้ gladiator โรมันฆ่ากัน และมีกรีฑาให้คนหนุ่มเล่นกีฬาของชาวกรีก


สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"เครื่องดักฝัน" ใกล้เป็นจริง นักวิทย์ยุ่นฉายภาพจากสมองได้แล้ว

แถวบนคือภาพตัวอักษรคำว่า "neuron" ที่นักวิจัยให้อาสาสมัครดู ส่วนแถวล่างเป็นภาพที่ฉายออกมาจากสัญญาณในสมองของอาสาสมัครเมื่อมองเห็นตัว อักษรคำดังกล่าวแล้ว (เอ็มเอสเอ็นบีซี/รอยเตอร์)

อะ...อะ ฅนเราสามารถที่จะดูฝันของฅนอื่นได้แล้วหรือนี้ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แย่ ละซิ!!!!!มาอ่านกันว่าพี่ยุ่นทำได้อย่างไร
ภาพในฝันใกล้ได้เห็นจริง และความลับอาจจะไม่ลับอีกต่อไป เมื่อทีมนักวิจัยแดนปลาดิบ พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถฉายภาพ สิ่งที่ตาของคนเรามองเห็นได้ จากสัญญาณในสมอง อนาคตอาจมีเครื่องบันทึกความฝัน หรือเครื่องฉายภาพจากความรู้สึกนึกคิดของคนเราได้ไม่ยาก

ยูกิยาสุ คามิทานิ (Yukiyasu Kamitani) นำทีมนักวิจัยของสถาบันวิจัยนานาชาติด้านเทคโนโลยีทางการสื่อสารขั้นสูง (Advanced Telecommunications Research Institute International) กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น **อ่านเพิ่มเติมได้ จาก http://www.atr.co.jp/index_e.htmlเปิดเผยผลสำเร็จการสร้างเทคโนโลยี การฉายภาพจากสมองของมนุษย์ได้โดยตรง ซึ่งสำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่า พวกเขาได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยลงในวารสารนิวรอน (Neuron)อ่านเพิ่มเติม ได้จาก www.cell.com/neuron/home ของสหรัฐอเมริกา

ในการศึกษาและทดลอง นักวิจัยให้อาสาสมัครที่เข้าร่วมกัน ทดลองมองดูภาพตัวอักษร 6 ตัว ของคำว่า "neuron" ขณะเดียวกันก็สังเกตการทำงานของสมองส่วนการมองเห็นของพวกเขา ผ่านทางเครื่องแสกนสมอง แล้วสามารถถ่ายทอดสัญญาณจากสมองของพวกเขาปรากฏออกมาเป็นอักษรดังกล่าวได้บนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปเรขาคณิต สีเทา ขาว และดำ แต่ก็ยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก

ทั้งนี้ เมื่อตาของคนเรามองเห็นวัตถุ เรตินาจะเปลี่ยนภาพที่เห็นให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า และส่งไปยังสมองส่วนที่เกี่ยวกับการมองเห็นบริเวณคอร์เทกซ์ (cortex) ทำให้เราเห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร ในทำนองเดียวกัน ทีมวิจัยสามารถเชื่อมโยงสัญญาณนั้นเข้ากับอุปกรณ์ได้ แล้วฉายออกมาเป็นภาพที่บุคคลนั้นมองเห็น
นัก เรียนชาวญี่ปุ่นกำลังทดลองสวมบทเป็นตัวละครที่กำลังเดินไปในโลกจำลองบนจอ มอนิเตอร์ โดยอาศัยคลื่นสมองในการควบคุม ส่าสุดนักวิจัยญี่ปุ่นพัฒนาเทคโนโลยีการฉายภาพที่ตามองเห็นได้โดยออกมาจาก สัญญาณสมองโดยตรง (เอเอฟพี)

สำหรับการทดลองนี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ปัญหาทางด้านการ สื่อสาร และศึกษาถึงความผิดปรกติหรือความซับซ้อนในจิตใจของคนเรา

"เวลาที่เราต้องการสื่อสาร เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวบางส่วนของร่างกาย เช่น การพูดออกมาจากปาก หรือใช้นิ้วพิมพ์ลงบนแป้นพิมพ์ แต่ ถ้าหากเราสามารถรับข้อมูลที่ออกมาจากสมองได้โดยตรง ก็เป็นไปได้อย่างมากที่เราจะสามารถสื่อสารกันโดยการที่เราเพียงแค่นึกคิดว่า เราต้องการจะพูดอะไรออกมาเท่านั้น โดยที่เราไม่ต้องขยับร่างกายส่วนไหนเลย" คามิทานิ กล่าวกับรอยเตอร์ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในทงการแพทย์สำหรับผู้ที่ไม่สามารถ พูดได้ หรือมีอาการจิตหลอน

นักวิจัยระบุว่านี่เป็นเทคโนโลยีแรกในโลกที่ช่วยให้เราสามารถมองเห็น ภาพสิ่งที่คนอื่นมองเห็นได้โดยดูภาพที่มาจากคลื่นสมองของเขาโดยตรง ซึ่งนักวิจัยจะพัฒนาต่อไปอีก และอาจเป็นไปได้ว่าในอนาคตเราจะมีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกภาพที่เรานึกคิด อยู่ในหัวสมองแล้วนำมาฉายซ้ำอีกครั้งได้ รวมทั้งความทรงจำในใจ หรือแม้แต่บันทึกความฝันในขณะหลับก็ย่อมได้


ข้อมูล ASTV

อ่านต่อกด..จ๊ะ.

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

A-STAR พูดไทยใส่ล่ามอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็น 8 ภาษาเอเชีย


"อันนยองฮาเซโย?" เสียงทักทายภาษาเกาหลีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตถึง "ลี มิน กิ" ที่กรุงโซล ทั้งๆ ที่เพื่อนหญิงของเขากล่าวคำ "สวัสดีค่ะ" อย่างชัดถ้อยชัดคำจากใจกลางกรุงเทพฯ คือภาพฝันที่ไม่น่าไกลจากความเป็นจริงนักสำหรับ "ล่ามอิเล็กทรอนิกส์" ซึ่งเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างภายใต้ความร่วมมือ A-STAR ที่จะช่วยให้เราสื่อสารกับเพื่อนต่างชาติได้แม้ไม่ทราบภาษาของชาตินั้นๆ

ความร่วมมือเพื่อการวิจัยภาษาเอเชียนขั้นสูงหรือที่เรียกสั้นๆ ว่า A-STAR (Asian Speech Translation Advanced Consortium) เป็น โครงการความร่วมมือของ 8 ประเทศในเอเชีย คือ ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย เวียดนามและสิงคโปร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อวิจัยและพัฒนา "ล่ามอิเล็กทรอนิกส์" ที่สามารถแปลเสียงพูดของแต่ละประเทศพร้อมด้วยภาษาอังกฤษอีก 1 ภาษา ให้เป็นข้อความและเสียงของประเทศอื่นๆ ในกลุ่ม ส่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
หน้า จอแสดงผลการสนทนาผ่านล่ามอิเล็กทรอนิกส์ 8 ภาษาเอเชีย ของ A-STAR ซึ่งแสดงภาพผู้พูดและภาษาที่พูด ก่อนตามด้วยภาษาที่แปลและเสียงสังเคราะห์

สำหรับประเทศไทย หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) คือหน่วยงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาระบบเพื่อสร้างล่ามอิเล็กทรอนิกส์ที่จะ ช่วยในการสื่อสารของประเทศสมาชิกทั้ง 8 ภายในเอเชีย ซึ่ง ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์วิชัย ผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษาของเนคเทค กล่าวถึง A-STAR ว่า ได้เกิดความร่วมมือเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อสื่อสารใน รูปแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2550 โดยความร่วมมือของ 6 ประเทศในเอเชียที่กล่าวถึงข้างต้น ขณะที่เวียดนามและสิงคโปร์เพิ่งเข้าร่วมเมื่อปี 2551

ในระบบสื่อสารผ่านล่าม อิเล็กทรอนิกส์ ผู้พูดสามารถพูดภาษาประจำชาติผ่านระบบซึ่งเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยที่การแสดงผลที่ปลายทางจะอยู่ในรูปภาษาของผู้พูด และภาษาของผู้ร่วมสนทนาทั้งในแบบตัวอักษรและเสียงสังเคราะห์ ซึ่งจะเกิดการสื่อสารเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีระบบจำเสียงพูด ระบบแปลข้อความ และระบบสังเคราะห์เสียง ซึ่งทั้งหมดต้องให้บริหารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ทั้งนี้ เมื่อผู้พูดกล่าวภาษาประจำชาติของตัวเองกับระบบล่ามอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ระบบรู้จำเสียง (Automatic speech recognition) หรือ ASR จะแปลงเป็นข้อความภาษาไทยแล้วส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ญี่ปุ่น ที่นั่นมีระบบแปลข้อความ (Machine translation) หรือ MT ถึง 9 ภาษาครอบคลุมประเทศในกลุ่ม A-STAR และภาษาอังกฤษ ซึ่งจับคู่แปลภาษาทั้งหมดได้ 72 คู่

จาก นั้นระบบแปลข้อความจะแปลภาษาของผู้พูดให้เป็นภาษาของคู่สนทนา หากภายในห้องสนทนามีสมาชิกจาก 4 ประเทศ ระบบจะแปลงเป็น 4 ภาษาของประเทศในกลุ่มสนทนา และระบบสังเคราะห์ของแต่ละประเทศจะแปลงภาษาที่แปลมานั้นเป็นภาษาพูด ซึ่งตั้งแต่พูดจนถึงกระบวนการแปลภาษานั้นใช้เวลาประมาณ 4-5 วินาที

หากถามถึงความแม่นยำแล้ว ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ซึ่งได้ร่วมสังเกตการเชื่อมต่อแบบออนไลน์ของ 8 ประเทศ ในการทดลองสื่อสารระหว่างกันผ่านล่ามอิเล็กทรอนิกส์ เห็นว่ายังมีความผิดพลาดและการสื่อสารยังไม่ลื่นไหลนัก ซึ่งจุดนี้ ดร.ชัยกล่าวว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง จึงตั้งเป้าพัฒนาระบบแปลภาษาให้มีความแม่นยำก่อนเปิดให้ใช้งานได้ในระบบ สาธารณะในอีก 3 ปีข้างหน้า แม้ว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานขณะนี้สามารถเปิดให้ใช้บริการในระดับสาธารณะได้ แล้วก็ตาม

ขณะที่ระบบแปลภาษาของไทยที่แปลจากไทยเป็นอังกฤษและอังกฤษเป็นไทยนั้น ดร.ชัยกล่าวว่า มีความแม่นยำ 40 ตามสเกลการวัดความถูกต้องของการแปลแบบ "บลูสกอร์" (bleu score) เทียบกับความสามารถของ "กูเกิลทรานสเลต" (Google translate) ที่แปลไทย-อังกฤษในสเกลการวัดความถูกต้องเดียวกันอยู่ที่ 25 ซึ่งสเกลการวัดนี้ยิ่งมีตัวเลขสูงยิ่งแสดงถึงความแม่นยำ ส่วนคู่ภาษาที่กูเกิลทรานสเลเตอร์แปลได้แม่นยำที่สุดคือ อังกฤษ-จีน และ อังกฤษ-สเปน ซึ่งมีสเกลอยู่ที่ 50

สำหรับระบบแปลภาษาของไทยนั้น มีคำศัพท์ไทย 14,000 คำ และคำศัพท์อังกฤษ 21,000 คำ ซึ่งเนคเทคพร้อมจะเปิดให้สาธารณะได้ใช้งานแปลคู่ภาษาไทย-อังกฤษได้ในช่วง เดือน เม.ย.53 โดยอุปกรณ์สำหรับใช้งานระบบนี้ได้คือ คอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไป รวมทั้งอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้

อย่างไรก็ดี ในส่วนของล่ามอิเล็กทรอนิกส์สำหรับแปล 8 ภาษาของ A-STAR นั้น ยังเป็นความร่วมในระดับวิจัย ขณะที่ความร่วมมือที่จะเปิดให้ใช้งานได้ในระดับสาธารณะนั้น ยังต้องหารือกันระหว่างสมาชิกอีกครั้ง โดยเบื้องต้นระบบนี้ทดลองใช้กับภาษาเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งมีคำศัพท์พื้นฐานที่สามารถใช้สนทนาทั่วๆ ไปและการท่องเที่ยว แต่ยังมีอุปสรรคในเรื่องคำเฉพาะ เช่น ชื่อคน ชื่อสถานที่ ชื่อถนน เป็นต้น
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์วิชัย กับตัวอย่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ พร้อมจอแสดงผลการแปลภาษา

นอกจากล่ามอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ดร.ชัยเผยด้วยว่า ทางหน่วย ปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษาของเนคเทค ยังได้เริ่มระบบแปลภาษาไทย-มลายู เพื่อให้ตำรวจตระเวนชายแดนนำไปใช้สื่อสารกับคนไทยใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจต่อกันและสร้างความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่ได้มาก ขึ้น


ขอบคุณ astv

อ่านต่อกด..จ๊ะ.