เรียนท่านผู้มีอุปการะคุณ ที่เข้ามาเยี่ยมชม สมองสองซีก ตอนนี้ทางทีมงานได้ย้ายไป link ใหม่ตาม นี้ขอรับ http://g-sciences.blogspot.com ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามขอรับ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Pompeii : เมืองที่ถูกภูเขาไฟถล่มทั้งเป็น (1)

แผนที่แสดงตำแหน่งของ Pompeii, Herculaneum และ Naples

การคำรามของภูเขาไฟ Visuvius ซึ่งสูง 1,280 เมตร เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 622 เวลาบ่ายโมงไม่ได้ทำให้ชาวเมือง Pompeii คนใดตระหนกตกใจ เพราะภูเขาไฟลูกนี้ได้สงบนิ่งมาเป็นเวลานานจนไม่มีใครจำได้ว่ามันระเบิด ครั้งสุดท้ายเมื่อใด ดังนั้น เมื่อถึงเวลาค่ำของคืนวันนั้น การระเบิดที่รุนแรงและฉับพลันจึงทำให้ผู้คนกว่า 20,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเมือง Pompeii และ Herculaneum ถูกเถ้าภูเขาไฟและลาวาถล่มทับจนมิดทั้งเมืองภายในเวลาเพียงวันเดียว Pliny ผู้อาวุโส เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกควันภูเขาไฟอุดจมูกจนขาดใจตาย

ส่วนหนุ่ม Pliny ก็ได้เล่าว่า ขณะภูเขาไฟระเบิด ควันภูเขาไฟได้ลอยขึ้นสูง แล้วกระจายออกตามแนวราบ จากนั้นลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็พัดนำเขม่า ฝุ่น และก้อนหินมาตกบนหลังคาบ้าน จนอาคารพังพินาศทำให้ผู้อาศัยถูกอบด้วยควันร้อน ลาวาเดือดที่มีอุณหภูมิสูงถึง 400 องศาเซลเชียส ได้เผาคนจนตัวเกรียม บ้างก็ได้พยายามหนีตายโดยการวิ่งไปที่ชายทะเลเพื่อลงเรือหนี แต่ไม่เป็นผล เพราะเถ้าลาวาได้ไหลทันคนเหล่านั้น จนศพถูกหุ้มด้วยลาวาเหลวและกลายสภาพเป็นศพหินให้เห็นกันจนทุกวันนี้
ภาพวาดแสดงการระเบิดของ Visuvius เมื่อ พ.ศ. 623 โดย Joseph Wright

การถูกฝังด้วยลาวาที่หนา 25 เมตร ทำให้เมือง Pompeii และ Herculaneum ถูกโลกลืมอย่างสนิท จนกระทั่งปี 2291 เมื่อวิศวกรท่อระบายน้ำ ได้พบซากบ้านโบราณฝังอยู่เบื้องล่าง และการวิเคราะห์ในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า นั่นคือซากเมือง Pompeii ที่โลกเคยรู้จักเมื่อ 1,670 ปีก่อน

ถึงเวลาจะผ่านไปนานร่วม 260 ปี นับจากวันที่ได้มีการขุดพบซากเมือง Pompeii ก็ตาม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา การขุดและวิเคราะห์หลักฐานอย่างละเอียดก็ยังทำให้ชาวโลกทุกคนตื่นเต้น เพราะข้อมูลที่ได้ทำให้เราวันนี้รู้วิถีชีวิตของชาว Pompeii เมื่อ 2,000 ปีก่อนดีขึ้นเรื่อยๆ ว่า ในสมัยนั้นเมืองนี้เป็นเมืองขนาดกลางที่มีประชากรประมาณ 20,000 คน แม้เมืองจะไม่ได้เป็นที่ประทับของเจ้าชายใดๆ แต่พ่อตาของจักรพรรดิ Julius Caesar ก็มีวิลลาตากอากาศอยู่ที่นี่ และในสมัยนั้น Pompeii เป็นสถานที่จิตรกร ศิลปิน เศรษฐี และทาสนิยมมาพำนักอาศัยเพราะทาสต้องการงานเพื่อจะได้มีเงินไปใช้ ไถ่ตนให้เป็นไท แม้แต่กลาเดียเตอร์ชื่อ Spartacus ก็เคยมาเที่ยวพำนักที่ Pompeii ก่อนเดินทางเข้าโรม
ซากสุนัขที่กลายเป็นหิน ซึ่งแสดงความพยายามจะหนีลาวาร้อน

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า สาเหตุที่ทำให้โลกได้มีโอกาสเห็น Pompeii อีก ครั้งหนึ่ง เพราะในช่วงเวลา 100 ปีแรกที่มีการขุดนักโบราณคดีได้เห็นโรงละครของเมืองและได้พบวัตถุประวัติ ศาสตร์มากมาย รัฐบาลอิตาลีจึงอนุญาตให้ Guiseppe Fiorelli ขุดดินที่ทับถม ประมาณ 600,000 ลูกบาศก์เมตรออก ในปี 2403 การศึกษาโบราณวัตถุที่ขุดได้ ทำให้เรารู้ว่า เมื่อ 800-900 ปีก่อนคริสตกาล เมือง Naples และ Salerno ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ Pompeii เคยเป็นเมืองท่าสำคัญ จึงถูกชาวกรีกและชาวอิตาเลียนผลัดกันยึดครอง แต่เมื่อ 500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทั้ง Naples และ Pompeii ได้ตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ด้วยเหตุนี้ ตัวเมืองจึงมีศิลปวัตถุสไตล์กรีกตามอาคารสาธารณะ อนุสาวรีย์ โรงละคร อัฒจันทร์ ที่อาบน้ำสาธารณะ ฯลฯ ให้ชาวบ้านที่เดินทางมาขายสินค้าได้พักผ่อน โดยเมืองมีจุดศูนย์กลางของกิจกรรมที่จัตุรัสกลางเมือง และชาวเมืองมีเทพเจ้าประจำเมือง คือ Jove, Juno, Minerva กับ Venus
ซากชาว Pompeii ที่นอนตาย และถูกลาวาจับแข็งแสดงความรู้สึกถูกทารุณครั้งสุดท้าย

แม้โรงละครที่หันหน้าสู่แม่น้ำ Sarno จะไม่ยิ่งใหญ่เท่า Colleseum ในโรม แต่ก็สวย เพราะมีที่กำบังแดด และสามารถบรรจุคนได้มากถึง 2,000 คน ที่นี่จึงใช้สำหรับการชมดูการต่อสู้ของ gladiator ด้วย ทั้งนี้เพราะชาวเมืองชอบดูกีฬานองเลือดชนิดนี้มาก นอกจากนี้เมืองก็มีสนามกรีฑาและสระว่ายน้ำให้บรรดาชายฉกรรจ์แสดงฝีเท้า และฝีมือ รวมทั้งพละกำลังในการเล่นมวยปล้ำ และว่ายน้ำด้วย ถึงกีฬาเหล่านี้เป็นกีฬากรีกยิ่งกว่ากีฬาโรมัน แต่ Pompeii ก็สามารถผสมผสานสองอารยธรรมได้อย่างลงตัว เช่น มีกีฬาให้ gladiator โรมันฆ่ากัน และมีกรีฑาให้คนหนุ่มเล่นกีฬาของชาวกรีก


สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น